วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ถั่วงอกกับหัวไฟ : โลกใบใหม่บนลายเส้น

หากภายใน 2-3 ปีที่ผ่านมา คุณเคยเปิดอินเตอร์เน็ต แล้วพิมพ์ชื่อ ทรงศีล ทิวสมบุญ ลงช่องไฟในเวปไซด์ Google แล้วล่ะก็ เชื่อขนมกินได้เลยว่า 21 หน้าของชื่อนี้ และอีก 26 หน้าของคำว่า “ถั่วงอกกับหัวไฟ” หาใช่อะไรไม่ เพราะนั่นคือที่มาของ “การ์ตูนนัวร์แบบไทย” กับการสวมหมวกอีกใบที่น่าจับตามองของ ทรงศีล ทิวสมบุญ

“การ์ตูนก็ไม่ใช่ นิยายก็ไม่เชิง” อ้างอิงจากปลายปากกาของบรรณาธิการรุ่นใหม่ ทรงกลด บางยี่ขัน ที่ต้องบอกว่าเป็นอีกคนที่ช่างขยันสรรหาและผลักดันนักเขียนหน้าใหม่เข้าสู่วงการวรรณกรรมไทยพร้อมกับการฝากความหวังไว้ให้พวกเขายอมเปิดใจมอบความหมายในชีวิตที่ “สด” และ “ใหม่” ด้วยอิสระแห่งวัยในการสร้างสรรค์ในแบบที่ไม่มีใครกล้าเปิดใจมาก่อน

ถั่วงอกกับหัวไฟ (Beansprout & Firehead) คือผลพวงต่อเนื่องมาจาก Improvise ผลงานนิยายภาพเล่มแรกที่ทรงศีลเปิดตลาดนักอ่านร่วมสมัยเอาไว้ได้อย่างสวยงามในนามสำนักพิมพ์ a book เมื่อความนัวร์ ของ “ถั่วงอก” ออกมาเรียกเสียงฮือฮา กอปรกับส่วนผสมแห่งลูกบ้าของ “หัวไฟ” พอไปรวมกับความสดชื่นสดใสของ “บุบบิบ” จึงทำให้เกิดการไหลย้อนกลับมาของวงจร “น้อยแต่มาก” ให้กลับสู่สังคมของคนอ่านรุ่นใหม่ได้อย่างท้าทายเหลือใจ

ชีวิตของทั้งสามตัวละครถูกเลือกให้เล่าผ่านมุมมองของถั่วงอก ซึ่งไม่ประสีประสาต่อโลกภายนอกรั้วสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ตนเติบโตมา ทำให้ “ระหว่างทาง” ของถั่วงอก กลายเป็นความแปลกใหม่ โดยเฉพาะการที่ได้เพื่อนร่วมชะตากรรมที่เต็มไปด้วยลูกบ้าแบบสุดโต่งและแรงสมชื่อ “หัวไฟ” ที่มาพร้อมสุนัขคู่ใจในแบบของ “บุบบิบ” จนทำให้ “การ์ตูนก็ไม่ใช่ นิยายก็ไม่เชิง” เล่มนี้ มี “ทาง” เป็นของตัวเองที่ผู้คนยังคงให้ความสนใจอย่างล้มหลามและออกตามถามหากันอย่างไม่ขาดปากจนถึงตอนนี้

ด้วยความที่ลายเส้น ดำ ทึบ ทึม นัวร์ เป็นส่วนผสมหลักของคาแรคเตอร์ ที่เรียกว่าแค่แปลกตายังไม่พอเพราะความต่างของคาแรคเตอร์แต่ละตัวก็ยังซับซ้อนไม่แพ้กัน อีกทั้งเรื่องราวที่ชวนฉงน บวกด้วยความที่ตัวละครมีที่มาเพียงน้อยนิด ความสนุกของการค้นหาจึงเริ่มเดินทาง ประหนึ่งว่า การร่วมหัวจมท้ายก็เปรียบได้กับการที่ทั้งสามชีวิตได้เวลาที่จะต้อง “กินข้าวหม้อเดียวกัน” แล้วนั่นเอง

การดำเนินเรื่องเป็นไปเหนือการคาดเดา จากความที่ทรงศีลวางหมากไว้ ให้เราๆ ติดตามตอนต่อไปแบบไม่พลาดโอกาสที่จะทำให้เรางงงวย เลยพาลทำให้ผู้เขียนกลายเป็นเด็กช่างสงสัยไม่ต่างไปจาก “ถั่วงอก” ที่กำลังมีต่อโลกใบใหม่ที่ตนเองกำลังต้องเผชิญชะตากรรม กลายเป็นว่าจนถึงตอนนี้ผู้เขียนเองก็กำลังลุ้นและต้องการคำตอบจาก “หัวไฟ” ว่าจะพาไปพบเจออะไรอีกในพื้นที่โลกข้างหน้า ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากความสงสัยที่ถั่วงอกมีอยู่ในใจเช่นกัน

เมื่อความหม่นเศร้ากลายเป็นสิ่งสวยงาม การได้อ่าน “ถั่วงอกกับหัวไฟ” เล่มนี้ ก็ไม่ต่างไปจากการนั่งดูหนังชีวิตของใครสักคน รอยยิ้มเล็กๆ และเสียงหัวเราะเบาๆ สายตาที่หม่นเศร้าต่างเกิดขึ้นเองตามอัตภาพของบทตอน และบางทีก้อนสะอื้นก็เอ่อท้นมาจุกอยู่ในลำคอ แต่ก็ไม่ได้มีผลถึงขั้นทำให้ผู้เขียนยอมละสายตา กลับยิ่งทำให้รับรู้ว่าแม้ทั้งสามตัวจะเป็นแค่ตัวละครในฉากชีวิตเล็กๆ ที่ไม่ได้จงใจบอกอะไร แต่สิ่งที่ผู้เขียนได้จากทุกฉากในหน้าถัดไปจะกลายเป็นคำตอบตัวเองที่กำลังค้นหา แถมยังถอนตัวออกมาไม่ได้กับคำถามที่ทั้งสามแอบตั้งทิ้งไว้ให้ในฉากต่อไปอีกด้วย

ในเชิงตื้น “ถั่วงอกกับหัวไฟ” ให้ความบันเทิงและความ “สด” “ใหม่” เป็นที่ตั้ง การได้เห็นลายเส้นที่แตกต่าง แปลกตา ช่วยปลุกชีวิตและเพิ่มชีวาให้แวดวงวรรณกรรมของไทยได้เป็นอย่างดี และเหมือนช่วยฟื้นฟูพลังให้กับนักเขียนไทย เรียกสตินักอ่านไทยให้กลับมาอ่านงานเขียนที่เล่าเรื่องอย่างไทยได้แล้ว เวลาไปไหนมาไหนจึงเหมือนได้พกพาความรู้สึกภาคภูมิใจไปด้วยทุกครั้งที่มีคนกล่าวขวัญหรือแอบชื่นชมให้ได้ยิน

ในเชิงลึก การออกมาแสดงตัวของ “ถั่วงอกกับหัวไฟ” ในวันที่กระแสแห่งการ์ตูนญี่ปุ่น เกาหลี หรือบรรดาเหล่าการ์ตูนแอนนิเมชั่นของฝรั่งตาน้ำข้าว ชาวผิวสี ที่กำลังเข้าครอบงำวัฒนธรรมการอ่านและความเชื่อของคนไทยให้ไหลไปตามครรลองแห่งโลกตะวันตก ทรงศีล จึงเปรียบได้ดั่งอาชาไทยสายพันธุ์ดี ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยลักษณะที่พรั่งพร้อม องอาจ สง่างาม มั่นใจ และมั่นคง แฝงไว้ด้วยพลังที่มาพร้อมการสร้างสรรค์อย่างแท้จริง

ในเชิงลึกลงไปอีกขั้น ทรงศีล สร้าง “ถั่วงอกกับหัวไฟ” ขึ้น เพื่อเป็นหนึ่งตัวแทนของเด็กเร่ร่อน เด็กที่ด้อยโอกาสในสังคมไทยที่ผู้เขียนคงจะพูดได้เต็มปากว่า “มีอยู่” และจะไม่มีวันหมดไป หากแต่รอวันจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นๆ ในอนาคตอันใกล้นี้ด้วยซ้ำ หากเรายังไม่เปิดหู เปิดตา เปิดใจ ยอมรับ ช่วยเหลือ ร่วมมือกันแก้ไข ฝึกการพัฒนาจิตใจของผู้ที่มีความสามารถในการ “ให้” ช่วยมองชีวิตเล็กๆ เหล่านี้ว่ามีคุณค่าและสูงราคากว่าวัตถุ บ้านนี้เมืองนี้ก็ต้องมีถั่วงอกกับหัวไฟกลุ่มใหม่ๆ เกิดขึ้นตามมาอีกเป็นหมื่นเป็นแสนล้านตัวละครอย่างไม่มีวันสิ้นสุดในโลกความจริง

การที่เด็กเร่ร่อนกำลังถูกหลอมรวมไปในสังคมอันล้มเหลวบนพื้นฐานของโลกที่กำลังบ้าคลั่งนี้ ทำให้ “แก่นแท้ของขุมพลังแห่งวัยสร้างสรรค์” ถูกห่อหุ้มไปด้วยเปลือกนอกของวิธีการ “เอาตัวรอด” ที่ไม่อาจแปลความได้ว่าผิดหรือถูก รุนแรงหรืออ่อนโยน และผู้เขียนก็ไม่สามารถตัดสินแทนได้ว่า วิธีการเล่าเรื่องของ “ถั่วงอกกับหัวไฟ” กำลังบอกอะไรกับเราผู้อ่านทุกคน หากแต่ทุกอารมณ์ของตัวละครที่เกิดขึ้นนั้น คงไม่ต่างไปจากอารมณ์ของเด็กเร่ร่อนผู้ด้อยโอกาสที่กำลังถูกกดดันจากสังคมที่บ้าคลั่งนี้อย่างแน่นอน

กับการเดินทางครั้งใหม่ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้าในเส้นทางที่ใครหลายคนต่างก็ตั้งตารอกันมานานนับปี ส่วนตัวของผู้เขียนเองก็ขอบอกว่าจะไม่ยอมพลาดเช่นกัน สุดท้ายนี้ขอเป็นกำลังใจให้การเดินทางครั้งใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นของทั้งสามได้มีแต่ความสุข สดใส สมวัยของถั่วงอกกับไฟและบุบบิบไปตลอดทาง

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

วิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน

“วิชาสุดท้าย (ที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน)” เป็นชื่อที่ต้องยอมรับว่าเพียงแค่เห็นหรือได้ยินก็ “โดน” แถมมันยังความสงสัยใคร่รู้ให้กับฉันอย่างมากว่ายังมีอีกหนึ่งวิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้นำไปใส่ไว้ในหลักสูตรอีกหรือนี่ ! กอปรกับคำถามในใจที่ยังไม่รู้ว่าจะได้อะไรจากสุนทรพจน์สองร้อยหน้าในมือต่อจากนี้

เพียงบางเบาที่ได้รู้จากคำนำของผู้แปลในครั้งแรกว่าหนังสือเล่มนี้ล้วนเต็มไปด้วยคำกล่าวสุนทรพจน์ในวันรับปริญญาเพื่อนักศึกษาปีสุดท้าย จากหลากหลายมหาวิทยาลัยอันมีชื่อเสียงในอเมริกาที่ถือปฏิบัติกันมายาวนาน กระทำการโดย “คนใน” อย่างอธิการบดี ที่เปิดใจให้ “คนนอก” อันเป็นผู้มีชื่อเสียงในสาขาอาชีพต่างๆ มากล่าวสุนทรพจน์ในวันจบปริญญาให้นักศึกษาที่กำลังจะจบรุ่นปีการศึกษานั้นๆ ฟัง โดยหมุนเวียนกันตามโอกาสและวาระอันสมควร

เมื่อได้เริ่มลงมืออ่านก็ต้องบอกว่าแทบจะวางไม่ลง และเริ่มจะต่อติดสัญญาณคุณภาพขึ้นในใจมานิดๆแล้วจากการที่สำนักพิมพ์และผู้แปลได้พยายามเป็นอย่างยิ่งในการถ่ายทอดออกมาอย่างทุ่มเท ด้วยการตัดสินใจพิมพ์เนื้อหาชีวิตของผู้มีชื่อเสียงในแต่ละวงการ อันแตกต่างกันไปในสาขาอาชีพแห่งประเทศเสรีภาพอย่างอเมริกา ทำให้เนื้อหาในเล่มอัดแน่น ครอบคลุมและครบถ้วนอย่างลงตัว

สตีฟ จ๊อบส์ (Steve Jobs) ไม่ได้จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยใด แต่เป็นผู้สร้างคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลตัวแรกในโรงรถที่บ้าน จนกลายเป็นตำนานแห่งคอมพิวเตอร์นาม “แมคอินทอช” หรือ บิล เกตส์ (Bill Gates) ลาออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน และเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทยักษ์ใหญ่ “ไมโครซอฟท์” ผลิตซอฟท์แวร์ที่มีผู้นิยมใช้ทั่วโลก แต่สุดท้ายเขาได้ลาออกจากงานประจำเพื่ออุทิศตนให้แก่งานการกุศลอย่างเต็มตัว

เพียง 2 คนตัวอย่างจากผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาชีพที่น่าสนใจของคนทั้ง 10 แห่งยุค ที่มีผู้คนรู้จักมากที่สุด ก็ทำให้หนังสือเล่มนี้น่าสนใจขึ้นมาแล้ว ยิ่งแนวทางซึ่งแต่ละคนต่างก็มีชีวิตที่อัดแน่นไปด้วยประสบการณ์อย่างแท้จริง ก็ยิ่งเป็นตัวชูโรงให้กับฉากม่านที่กำลังจะเปิดตัวท่านผู้กล่าวคนต่อไป จนทำให้ผู้อ่านอย่างฉันชักสนุกที่จะติดตามว่าวิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอนสำหรับแต่ละท่านจะออกมาในลักษณะใดกันแน่

แต่ละท่านทำการลองผิดลองถูกด้วยการเอาตัวเข้าแลกกับความไม่รู้เกี่ยวกับอนาคตที่ไม่เคยเป็นปัจจุบัน และ การใช้ชีวิตทั้งชีวิตเล่าเรื่องเพื่อเป็นอุทาหรณ์และวิทยาทานต่อคนรุ่นใหม่ ที่กำลังจะก้าวข้ามความเป็นวัยรุ่นสู่ผู้ใหญ่ที่อาจยังไม่รู้ทิศทางไป โดยน้อยคนนักที่จะยอมรับและเปิดใจถึงเล่าช่วงชีวิตที่มีทั้งดีและร้าย แต่ในท้ายที่สุดผู้กล่าวก็เลือกให้ตนเองตกเป็นประโยชน์ต่อโลกและสังคมได้อย่างไร้ข้อกังขาใดๆ

สุนทรพจน์จากชีวิตและคราบน้ำตาของผู้กล่าวแต่ละท่าน แตกต่างและประกอบไปด้วยมุมมองอันดีที่มีต่อตัวเองและสังคมโลก ไม่ว่าจะเป็นการหัวเราะด้วยความสนุกให้กับชีวิตที่ผิดพลาด ส่งมอบความเจริญด้วยน้ำจิตน้ำใจที่ใสสะอาด การให้ที่เต็มเปี่ยมแม้ในวันที่ชีวิตเกิดข้อพิพาท หรือมือที่เรียกร้องป่าวประกาศหาความยุติธรรมให้สังคมอื่นที่รอคอย เมื่อแต่ละท่านก็ได้ลงมือใช้ชีวิต ชีวิตมันก็ส่งผลตามมาอย่างที่ได้กล่าว
สุนทรพจน์ออกไป เลยรู้ได้ว่าทุกคนเต็มที่และสนุกกับชีวิตของตัวเองอย่างที่กล่าวออกมาอย่างจริงใจจริงๆ

ผู้กล่าวสุนทรพจน์ได้ทำการส่งซิก (signal) ให้นักศึกษาว่าผ่านวิชาสุดท้ายของแต่ละท่าน ว่าจะทำย่างไรให้ตนเองประสบความเร็จ ทำให้อย่างไรเมื่อตนเองผิดพลาดแต่ก็สามารถอยู่กับมันได้อย่างไม่ขลาดเขลา และบอกแม้กระทั่งว่า ถ้าคุณทะเยอทะยานในด้านใด มันก็ล้วนแล้วแต่จะส่งผลให้คุณเป็นไปในด้านนั้นอย่างแน่นอน

ฉันเล็งเห็นแล้วว่าสุนทรพจน์เล่มนี้มี “ทุกอย่าง” ที่ควรมีแล้วอย่างครบถ้วน เข้าถึงและง่ายต่อการเข้าใจ และหากในฐานที่คุณเป็นมนุษย์ ฉันก็เห็นว่ามันต้องมีสักเรื่องที่เราสามารถหยิบจับมาเป็นต้นแบบใช้งานได้ไม่มากก็น้อยตามวัตถุประสงค์ของหนังสือที่ปูทางไว้ให้ ไม่ว่าจะเป็นปรัชาในการมองโลก สังคม เพื่อนมนุษย์ โดยไม่ลืมที่จะให้ปรัชญาชีวิตแก่ตนเองเฉกเช่นกัน

ต้องถือว่าการปรากฎตัวของหนังสือ “วิชาสุดท้าย(ที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน)” เล่มนี้ ออกจะฮือฮามิใช่น้อยสำหรับนักอ่านตัวยง ด้วยความที่หนังสือไม่ได้ออกตัวมาแต่ต้นว่าตั้งใจจะมอบอะไรให้แก่ผู้อ่าน มันเลยสนุกที่จะสานต่อแรงบันดาลใจของผู้ถ่ายทอด เพื่อจะก่อให้เกิดกองกำลังสำคัญแห่งโลกคุณภาพ อันเป็นการยืนยันว่า แม้โลกจะหมุนไปเกินกว่า 360 องศาขนาดไหน สุดท้ายโลกก็จะกลับมาขอรับสิ่งที่คุณหยิบยื่นให้อยู่ดี

หากตอนนี้คุณเองยังคงประสบปัญหาเพราะไม่รู้ว่าจะหาแรงบันดาลใจให้ตัวเองไปในทิศทางไหน และอยากได้อะไรสักอย่างที่จะเป็นผลดีต่อหัวใจ และไม่อยากให้ใบปริญญาเป็นกับดักที่จะทำให้ชีวิตคุณหมดคุณค่า สงสัยว่าได้เวลาที่คุณคงต้องเปิดใจแล้วเดินหน้าไปหา “วิชาสุดท้าย (ที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน)” มาอ่านสักเล่มได้แล้ว

เพราะสำหรับฉันแค่ได้ “ เอ่ย “ขอบคุณ” ทุกครั้งที่มีโอกาส ดึงกระดาษทิชชู่ให้พอดี ปิดไฟทันทีที่เลิกใช้ เลือกให้ทานเป็นนิจ และลดจริตเรื่องโกรธเกรี้ยว ” ก็รู้สึกว่าชีวิตได้เลี้ยวเข้าสู่ “วิชาสุดท้าย(ที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน)” ไปนิดๆ แล้วเช่นกัน

วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

7 บาปสร้างบุญ

บาป 7 ประการ (seven deadly sins) คือหลักคำสอนของ ศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาธอลิค ในอดีตกาล อันประกอบด้วย ราคะ (Lust) ตะกละ (Gluttony) โลภะ (Greed) เกียจคร้าน (Slot) โทสะ (Wrath) อิจฉา (Envy) โอหัง (Pride) และมีผู้คนพยายามจะนำมาดัดแปลงให้ง่ายในการที่จะสื่อถึงบาปทั้ง 7 ที่ว่านี้ ผ่านทางงานศิลปะ ในรูปแบบของ หนังสือการ์ตูน การ์ตูนแอนิเมชั่นสำหรับออกฉายทางโทรทัศน์ วีดีโอเกม เรียลติโชว์ (America’s Next Top Model) Final Fantasy (เกมภาษาออนไลน์) นวนิยาย ไปจนถึงสร้างเป็น ภาพยนตร์ ไม่เว้นแม้กระทั่งบริษัทผลิตไอศกรีม ก็ยังสามารถนำแนวคิดนี้มาดัดแปลงสร้างให้เป็นลิมิเต็ดอิดิทชั่นออกสู่สาธารณะได้เสียด้วย (ผู้เขียนขอไม่เอ่ยถึงแบรนด์ ณ ที่นี้ค่ะ)

สำหรับ “Seven Deadly Sins” เล่มนี้ ต้องถือว่าเป็นฉบับปฐมฤกษ์ที่เปิดตัวได้ท้าทายต่อสายตานักอ่านคนไทยได้ไม่น้อย เพียงแค่เห็นชื่อผู้ดำเนินงานบาปนามว่า “ทรงศีล” ก็รู้แล้วว่าแสงมืดแสงแรกจะเข้าครอบงำจิตใจ โลมเลีย หยอกล้อ และเคียงข้างไปกับสัญชาตญาณดิบในตัวผู้อ่านได้อย่างร่าเริงเป็นที่สุด

การตัดสินใจนำมาสร้างเป็นงานศิลปะในรูปแบบของการ์ตูนบาป ผู้เขียนก็ได้สร้างตัวละครขึ้นมาช่วยดำเนินงานบาปทั้ง 7 แทน เพราะแทนที่ผู้อ่านจะออกไปทดลองทำความรู้จักกับบาปทั้งหมดดังที่กล่าวด้วยตนเองนั้น ก็หันมาอาศัยงานศิลปะให้ช่วยเป็นพาหนะ เป็นเครื่องมือเพื่อพาให้ดำดิ่งลงไปทำความรู้จักกับสัณชาติญาณดิบในตัวตน ซึ่งฉันว่าน่าจะเป็นความเสี่ยงที่เลี่ยงได้...มิใช่หรือ?

การที่นักวาดการ์ตูนทั้ง 7 มารวมตัวกันสร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้วงการวรรณกรรมไทยครั้งนี้ ฉันก็ต้องถือว่าเป็นงานยาก แต่ก็ขอยืนยันในความสามารถของการนำมาประกอบกันได้อย่างลงตัว จากลายเส้นสุดแนวที่ผสมผสานระหว่างความเป็นการ์ตูนไทย ญี่ปุ่นและอเมริกา จากแนวคิดแห่งบาปทั้ง 7 ประการ ที่วางไว้ รวมถึงเจตนาของสำนักพิมพ์ที่สร้างสรรค์อย่างสมดุล ชวนให้ความเชื่อในใจเริ่มมีน้ำหนักพาลทำให้อยากติดตามไปจนจบจริงๆ

ศิลปะด้านนิยายภาพชิ้นใหม่ของวงการ เพื่อนักอ่านที่กำลังมองหาและต้องการเสพงานรูปแบบใหม่อย่างต่อเนื่องในกระแสโลกโลกาภิวัฒน์กำลังเป็นที่จับตา และแม้ว่าผลงานของนักเขียนบางท่านอาจจะยังมีลายเส้นไม่ชัดเจน รวมถึงวิธีเล่าเรื่องยังขาดชีวิตชีวาไปบ้าง แต่พอเลือกที่จะวางใจเป็นกลาง จึงเข้าใจว่ามันเป็น “ทาง” ของใครก็ของมัน ส่วนความ “พยายาม” ต้องถือว่าเข้าขั้น “ความตั้งใจ” ที่ผลิตชิ้นงานนี้มาให้ ก็ไม่เป็นศูนย์อย่างแน่นอน เพราะเพียงแค่คิดว่าขณะที่ทุกคนกำลังจ่อมจมไปกับมัน ขณะนั้นเกิดมีสักคนที่เผลอยิ้มมุมปากออกมาโดยไม่รู้ตัว ฉันก็ถือว่าคุ้มอย่างที่สุดแล้ว

พอได้ทำความรู้จัก “seven deadly sins” อย่างจริงจัง ฉันเลยต้องเปลี่ยนคำจำกัดความจากการเป็นการ์ตูนบาปอย่างที่ประกาศตัว ให้เป็นหนังสือแห่งการ “บอกบุญ” สุดขั้ว ที่พร้อมจะเปลี่ยนคนที่กำลังคิดชั่วให้ชะลอการหลั่งสารแห่งความเลวไว้ได้ชะงักนัก และหากใครที่ได้อ่าน “seven deadly sins” แล้วก็คงหมดห่วงว่าแสงแห่งบาปทั้ง 7 ประการจะส่องไปถึงตน ส่วนคนที่ยังไม่ได้เปิดใจลิ้มลอง ก็ยอมรับซะเถอะว่า คุณคงต้องรีบหาวิธีใดวิธีหนึ่งหรืออะไรสักอย่างที่จะไม่ทำให้ “บาป” อยู่กับคุณ...ใช่ไหม ?

วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2551

5 วินาทีสุดท้ายที่(ทำไม)ใครก็ให้ไม่ได้

5 วินาทีสุดท้ายที่(ทำไม)ใครก็ให้ไม่ได้ ? ฉันไม่ได้ขึ้นต้นประโยคผิดหรอก ฉันตั้งใจให้มันเป็นคำถามจริงๆ ส่วนคำตอบก็ตามใจว่าใครจะตอบหรือไม่ตอบก็ได้ มันไม่ใช่ประเด็น !!! เพราะประเด็นมันอยู่ถัดจากบรรทัดนี้ต่างหาก

เป็นประจำที่ฉันต้องไปดูหนังที่โรงภาพยนตร์จะด้วยความชอบส่วนตัวหรือเพราะสายงานที่ทำอยู่ก็ตามแต่ ดูแล้วภาพรวมก็เป็นปกติและธรรมดา จากตรรกะง่ายๆ เมื่อคนกว่าร้อยคนมารวมอยู่ในสถานที่เดียวกัน ที่ทั้งมืด ทั้งหนาว ก็ต้องกินขนม พูดคุย กระซิบกระซาบเป็นครั้งครว จับมือ จู๋จี๋ อิงแอบแบบที่พอจะทำได้ไม่น่าเกลียด ในที่นี้ขอไม่กล่าวถึงพวกที่ไม่ปิดเสียงมือถือ หรือ พยายามรับโทรศัพท์ขณะชมภาพยนตร์แล้วกัน เอาล่ะๆ ฉันจะพยายามทำความเข้าใจ

ไม่นานมานี้หากหลายคนติดตามข่าวสารบ้านเมืองอยู่บ้าง ก็คงได้รับทราบข่าวสารอยู่ว่า มีคนไทย(หรือเปล่า?) อยู่กลุ่มนึง ซึ่งชื่ออะไรกันบ้างนั้น ฉันขอไม่เอ่ยถึงไว้ในที่นี้ เพราะกลัวจะเป็นราคีและจะลดราศีต่อผู้ที่อ่านผ่านตา คนจำพวกนี้ได้สร้างกระแสสังคมให้เกิดขึ้นอย่างเจ็บปวดจนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ข่าวที่แพร่สะพัดออกไปกระทบจิตใจของประชาชนอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 60 ล้านคน ขอย้ำค่ะว่าไม่ต่ำไปกว่านี้แน่นอน

ให้ตายเถอะ!! กลุ่มคนที่บอกว่าตัวเองไม่ใช่อาชญากร แต่ให้เหตุผลเพื่อตัวเองว่าก็แค่เป็นคนที่คิดต่าง ก็ไม่ได้บอกว่าคุณเป็นอาชญากรนี่ค่ะ แต่คุณเป็นใครถึงกล้าดูถูกน้ำใจคนไทยได้ถึงขนาดนี้ ข้ออ้างสารพัดที่งัดออกมาอ้าง เรื่องนับถือศาสนาอื่นบ้างล่ะ เรื่องระบบศักดินาบ้างล่ะ แล้วไอ้ที่มานั่งกินนอนกิน ทำมาหากินอยู่บนแผ่นดินไทย ก็จะอยู่กันต่อไปโดยไม่ต้องเห็นหัวใครหรือให้เกียรติทำความเคารพใครหรือไงกัน !!!

คนไทยภูมิใจในระบบพระมหากษัตริย์มายาวนานเป็นร้อยเป็นพันปี ไม่ใช่เพราะระบบนี้หรอกหรือ ที่ไทยยังเป็นไทยได้ตราบเท่าทุกวันนี้ พระเจ้าอยู่หัวสอนท่านเคยสอนให้เราแบ่งแยกหรือเหยียบหัวคนอื่นรึก็ไม่ ท่านลดตัวลงแทบดิน ไม่ได้กินนอนอยู่บนฟ้าอย่างที่คนบางจำพวกเข้าใจ มองอะไรก็ให้มันกว้างๆหน่อย พระมหากษัตริย์ไทยไม่ได้มีไว้ให้ใครมาด่าทอ จำไว้ !!!

หลังจากที่ข่าวสารเหล่านั้นเข้าหู ฉันก็อดที่จะสบถหรือสาปแช่งคนพวกนั้นเหมือนกับคนไทยคนอื่นๆ ไม่ได้ เพราะฉันก็หนึ่งใน 60 ล้านคนไทย ที่ถวายตัวและใจให้พ่อหลวงมาตั้งแต่เกิดและจะเป็นไปอย่างนี้จนตาย

5 วินาทีสุดท้าย ก่อนที่เพลงสรรเสริญพระบารมีจะจบลงเพื่อให้คุณผู้ชมทั้งหลายจะได้นั่งลงให้ก้นสบายๆ เพื่อรับชมความบันเทิง กลายเป็นคำถามที่ค้างคาใจคนเล็กๆ อย่างฉันในทุกครั้งว่าทำไมใครก็ให้ไม่ได้ บางคู่ยืนคุยกระซิบกระซาบในเวลาแบบนั้น มันควรไหม โดยเฉพาะเพื่อนสาวเบาะคู่ข้างหน้าฉัน เห็นยืนคุยกันแล้วแหม อยากจะ...ให้กระเด็น โตมาเป็น...ก็แย่แล้ว ช่วยมีมันสมองคิดสักนิดจะได้ไหม?

ฉันรู้ว่าหลายคนก็แค่ทำไปตามหน้าที่ หลายคนคงไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มาตั้งแต่ต้น ยิ่งฉันเห็นก็ยิ่งปวดใจ จะให้ฉันต้องตะโกนบอกหรือไงว่า เพลงยังไม่จบดีจะรีบนั่งกันไปไหน จะทำแล้วก็ช่วยตั้งใจทำให้มันดีๆ ไม่ได้หรือไงกันนะ แค่ก้มหัวทำความเคารพพ่อหลวงของชาติมันทำให้เมื่อยมากหรือเสียเวลามากนักหรือไง ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ฉันในวันนี้ไม่ได้ตั้งใจมาเขียนกล่าวหาหรือด่าทอใครเป็นพิเศษ ยังไงก็รบกวนช่วยดูเจตนาฉันกันนิดนึงด้วยนะ

ใครทำดีอยู่แล้วก็ช่วยกันทำต่อไป ช่วยกันเป็นแบบอย่างให้คนที่ไม่รู้วิธีการใช้ใจที่ถูกต้อง ฉันอยากให้ทุกคนเริ่มทำด้วยใจ เพราะใจดีๆ เท่านั้นที่จะทำให้สมองสั่งการให้ร่างกายคุณแสดงแต่สิ่งดีๆ ออกมาหวังว่าในการชมภาพยนตร์ในครั้งต่อไป 5 วินาทีสุดท้ายของใครหลายคนจะเป็นการยืนที่มีคุณค่าต่อตัวเองสักที แต่ถ้าจะให้ดีช่วยเตือนสติคนข้างๆ คุณเพิ่มอีกสักคนก็พอ

วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ร่างทรงอารมณ์ศิลป์

อดีตและอนาคตอยู่ใกล้กันแค่เอื้อมมือ บางทีความฝันอาจอยู่แค่ตรงเปลือกตา เมื่อไรที่หลับตาลง ในความมืดเราจะเห็นความฝันอันสดใสอยู่ในความคิด ในสมอง และจินตนาการ อยู่ในทุกอย่างที่เราอยากจะให้มันเป็น แต่เมื่อลืมตาขึ้นไอ้เจ้าเปลือกตานั่นเองที่ทำให้ความฝันสูญสิ้นได้เช่นกัน เพราะเมื่อลืมตาขึ้นมาสิ่งที่จะมากองอยู่ตรงหน้าก็เหลือแค่ความจริงของร่างทรงที่ไร้วิญญาณ

ไม่รู้ว่าการค้นหาตัวเองกับการค้นหาโอกาสอันไหนมันจะยากกว่ากัน บางคนเจอตัวเองแต่ไม่มีโอกาส บางคนมีโอกาสแต่หาตัวเองไม่เจอ คนสองแบบในสถานที่และเวลาที่ต่างกัน จะผสานตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมในครั้งนี้ได้อย่างไร คงทำได้แค่เพียงกระซิบให้กำลังใจกับตัวเองเอาไว้ เพราะนี่มันช่างเป็นแบบทดสอบชีวิตที่ไร้ข้อจำกัดและยาวนานจริงๆ

วันที่กำลังตัดสินใจก้าวออกตามฝัน โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะไปทัน ณ ตรงไหน มันจะกลายเป็นวันที่ช้าเกินไปหรือไม่ ไม่อยากจะคิดหาคำตอบหรือว่าที่มาของคำถามเลย เพราะกลัวคำตอบที่ได้จะไม่เป็นไปอย่างใจตั้งสัจจะไว้ แต่สิ่งเดียวที่ได้ก็คือทุกวันนี้ก็ยังเดินตามฝันไปเรื่อยๆ มองตรงไปข้างหน้า มองหาคนที่จะหยิบยื่นโอกาสให้และคิดแค่ว่าจะทำโอกาสที่จะได้มาไม่ช้ายังไงให้ดีที่สุดก็พอ

“นักเขียนไส้แห้งจะตาย” ใครๆ ก็พูดกรอกหูอยู่เป็นประจำ และถามซ้ำๆ ว่าทำไมอยากทำงานหนังสือ อายุขนาดนี้แล้วมันจะไหวเหรอ “มันต้องมีเหตุผล” เวลาที่คนเราจะตัดสินใจทำอะไรลงไปสักอย่าง และฉันก็เชื่ออย่างนั้น ฉันไม่อยากให้ใครตัดสินใครเพียงดูจากฐานะทางการเงิน ฐานเงินเดือน หรือข้าวของเครื่องใช้ อยากให้เขาตัดสินว่าฉันให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตัวเองเลือกที่จะทำมากกว่า ฉันเลือกที่จะให้ความสุขตกอยู่ในงานที่ตัวเองรักและได้ทำงานที่รักแบบมีความสุข แต่ฉันจะไปบอกให้ใครเชื่อในสิ่งที่เราเป็นได้อย่างไร ถ้าฉันยังไม่มีบทพิสูจน์ที่จะทำให้เขาเชื่อว่ามันจริงกับสิ่งที่ฉันคิด

ฉันไม่มีทางรู้เลยด้วยซ้ำว่าแค่รักงานเขียนอย่างเดียวมันจะเพียงพอที่จะทำให้ชีวิตอยู่รอดหรือไม่ โดยเฉพาะในเมืองหลวงขนาดใหญ่เฉกเช่นมหานครแห่งนี้ ด้วยค่าครองชีพที่สูงแตะเพดานกับการแข่งขันและเร่งรีบในแต่ละวันของคนเป็นล้านๆ คนในเมืองใหญ่ ที่ไม่เคยยี่หระหรือยอมอ่อนข้อให้ใครก่อน

ถ้าเป็นนักเขียนแล้วไส้แห้ง แต่หัวใจจะไม่แล้งไปจากอารมณ์ศิลป์ ก็ขอเลือกจะเป็นคนไส้แห้งแล้วกัน เพราะมันคงต่างกับร่างทรงมหัศจรรย์ที่ประจำตามออฟฟิศ นั่งนิ่งสนิทอยู่ในคอกที่เล็กแสนเล็ก หายใจเข้า-ออก เพียงเพื่อทำหน้าที่ของมนุษย์ไปวันๆ ทำงานกันเหมือนว่าชีวิตมีความหมายแค่ตอนที่เงินเดือนออก วันศุกร์แห่งชาติที่จะได้กินดื่มกันเพื่อลืมทุกข์โศกที่เก็บกดมานานเป็นสัปดาห์ วันศุกร์แห่งชาติที่รถติดเป็นบ้าเป็นหลังไม่ทันได้ทำอะไรก็หมดไปอีกวัน ทำไมเราไม่มีความสุขทุกวันนอกเหนือจากวันศุกร์สิ้นเดือนก็ไม่รู้ ไม่ได้หมายความว่าเป็นพนักงานบริษัทไม่ดีนะคะ แต่ถ้าตอนนี้เลือกได้ของเป็นร่างทรงนั่งประจำที่บริษัท ได้ทำงานที่เรารักน่าจะดีกว่า

“หรือท้ายที่สุดนี้ก็คงเป็นเพราะไม่รู้ว่าโลกเอาอะไรเป็นบรรทัดฐานในการคัดสรรมนุษย์ให้คงอยู่และสืบทอด หรือว่าโลกจะใช้การจัดระบบ “แพ้คัดออก” ซึ่งคนแพ้ก็ต้องออกจากสารระบบไปให้ไว และไม่ควรคู่จะยืนหยัดต่อไปในโลกจริงหรือ แล้วโลกจะไม่เว้นวรรคหรือช่องว่างให้คนแพ้ได้ยืนอยู่พิสูจน์ตัวเองต่อบ้างเลยหรือไง หรือว่าโลกต้องการแต่ผู้ชนะร่ำไป โดยไม่ใส่ใจกับการร่ำไห้ของใครบางคน”

วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

แดดสุดท้ายที่สวนสันติชัยฯ เอนหลังพิงไหล่ชมป้อมพระสุเมรุ


แดดช่วงบ่ายแก่ของกรุงเทพฯ เริ่มโรยราเตรียมตัวลับฟ้าเพื่อหมุนเวียนมอบแสงสว่างแก่เมืองอื่นๆ ตามเส้นแนวแบ่งโลกแล้ว ในขณะที่ยังมีอีกหลายชีวิตขวักไขว่ รีบร้อน และเร่งรีบ ในการทำมาหากินเพื่อให้ปากท้องอิ่มก่อนดวงอาทิตย์จะหมดแสง แต่จะมีใครซักกี่คนที่จะรู้ว่าความสุขหาได้จากที่ไหนบ้างในเมืองหลวงเมืองใหญ่แห่งนี้…


ฉันรอคอยเวลาที่จะได้มาที่ป้อมพระสุเมรุและสวนสันติชัยปราการแห่งนี้หลายครั้งหลายหนวันนี้สบโอกาสก็ได้มาสมดั่งใจตั้งสัจจะไว้ซักทีและก็ไม่ผิดไปจากที่หวังแม้ซักนิด เพราะบรรยากาศอันร่มรื่นและภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้การเดินทางที่ร้อนระอุของวันนี้หายไปโดยสิ้นเชิง ภาพที่เห็นตรงหน้าเป็นป้อมปราการที่มีตัวกำแพงล้อมรอบเอาไว้อย่างแข็งแรง เหมือนอ้อมกอดของแม่ที่มิเคยจะละทิ้งเลือดในอกอย่างไรอย่างนั้น

แผ่นป้ายเหล็กขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แกะสลักติดไว้ที่ตัวกำแพงด้านหน้าบอกประวัติความเป็นมาของป้อมพระสุเมรุเพียงเล็กน้อย แต่นั่นก็คงพอเพียงสำหรับผู้คนที่ผ่านไปมาแบบเร่งรีบ เพราะผู้ที่ทำก็คงหวังแต่เพียงว่าจะมีคนไทยไม่มากก็น้อยที่จะเสียสละเวลาหยุดอ่านและเก็บไว้เป็นหนึ่งบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับบ้านเมืองเราเมื่อครั้งก่อนว่าเป็นมาอย่างไรเท่านั้นเอง เพราะหากจะหวังให้ลึกซึ้งไปกับร่องรอยแห่งความทรงจำคงมีน้อยคนนักที่จะเข้าไปศึกษาอย่างแท้จริง

ไม่น่าแปลกที่ร่องรอยแห่งความเก่าแก่และวัฒนธรรมสมัยก่อนจะยังคงอยู่สืบสานต่อในเมืองหลวงเมืองใหญ่แห่งนี้ เพราะฉันก็ยังเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าถึงแม้คนไทยอย่างเราจะพยามยามก้าวให้ทันโลกตะวันตกและเทคโนโลยีที่เพียบพร้อม




แต่รากเหง้าแห่งความเป็นไทยยังคงฝังแน่นอยู่ในสายเลือดตั้งแต่บรรพบุรุษมาจนถึงลูกหลานในวันนี้อย่างแน่นอน จึงทำให้กลุ่มคนและชุมชนในหัวเมืองหลายชุมชนยังล้อมรอบและตีกรอบให้เขาเหล่านั้นเชื่อและถือปฏิบัติสืบต่อกันมาได้อย่างน่าชื่นชม แต่หากบนถนนพระอาทิตย์แห่งนี้มีเพียงตัวป้อมพระสุเมรุตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวก็คงไม่ให้ความวิจิตรและประโยชน์แก่คนในชุมชมสักเท่าไหร่ หากว่าไม่มีสวนสันติชัยปราการตั้งอยู่ข้างๆ


ต้นราชพฤกษ์ ต้นไม้ประจำชาติไทยของเรากำลังออกดอกสีเหลืองสดไสวไปทั่ว นกน้อยแวะเวียนบินมาชื่นชมบ้างเป็นครั้งคราวเป็นที่น่าจดจำยิ่งนัก ภาพบรรยากาศของผู้คนหลากหลายและสายลมเย็นจากลำน้ำเจ้าพระยาปะทะเนื้อตัวและใบหน้าของฉันอย่างอ่อนโยน ทำให้ความร้อนในกายค่อยๆ จางหายไป บนเนื้อที่ประมาณ 8 ไร่ ติดแม่น้ำเจ้าพระยาโดยมีอีกด้านติดกับถนนพระอาทิตย์ในช่วงแดดร่มลมตกแบบนี้


ผู้คนเริ่มหลั่งไหลกันมาพักผ่อน พ่อแม่พาลูกๆ มาวิ่งเล่น คนเฒ่าคนแก่ต่างพากันมาเดินบ้างวิ่งบ้างเพื่อออกกำลังกายยามเย็น กลุ่มเด็กหนุ่มสาวทั้งไทยและเทศก็มีมาเช่นกัน ส่วนเด็กหนุ่มวัยรุ่นมาเล่นกีฬาเป็นกลุ่มๆ ต่างพากันแยกไปตามพื้นที่ที่ตนเองสามารถจับจองได้ บางคนนั่งอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ จนเรียกว่าลืมเวลาไปเลยก็ว่าได้

บรรดาเหล่าเด็กน้อยทั้งหลายก็มากระโดดน้ำเล่นกันอย่างสนุกสนาน ใครมีหน้าที่อะไรในสวนสันติฯ แห่งนี้ ต่างก็ทำหน้าที่กันไป แต่สิ่งที่ฉันเชื่อแน่แท้ก็คือคนส่วนใหญ่ที่มาก็คงต้องการผลลัพธ์ที่เหมือนกัน เพราะทุกคนที่เหยียบย่างเท้าเข้ามาในสวนสาธารณะแห่งนี้ ต่างก็ต้องความเงียบสงบ ความปลอดภัย ใช้สายลมเย็นจากแม่น้ำเจ้าพระยามาช่วยในการปลดเปลื้องความเหนื่อยล้าจากกิจกรรมประจำวันให้ได้พักผ่อน ทั้งกายและใจ เพื่อก่อร่างสร้างกำลังให้กับวันใหม่ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าเมื่อยามอาทิตย์กลับมาทอแสงให้ชีวิตก็คงถึงเวลาทำมาหากินตามกำลังเหมือนเฉกเช่นทุกวัน


หากลองมองย้อนแสงอัสดงของอาทิตย์ไปรอบๆ จากสวนสันติชัยปราการแห่งนี้ สิ่งที่คงจะได้เห็นก็คือเหล่าตึกสูงตระหง่านซึ่งตั้งอยู่รายรอบสลับกับตึกเก่าแบบโบราณแห่งถนนพระอาทิตย์สายนี้แบบลงตัวบ้างไม่ลงตัวบ้างตามแบบฉบับการใช้ชีวิตที่มีปัจจุบันและอนาคตเป็นเครื่องกำหนด รวมไปถึงวิถีชีวิตของชุมชนรอบๆ ที่มิอาจประเมินค่าได้อีกด้วย

ในขณะที่ทุกชีวิตต้องดิ้นรนเดินทางให้ได้มาและเฝ้าแต่หาสิ่งที่สังคมกำหนด ศิลปวัฒนธรรมประจำชาติยังคงรอให้คนทุกรุ่นสืบสานต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีใครกล้ารับประกันได้ว่าเทคโนโลยีจากซีกโลกตะวันตกจะสร้างหรือว่าจะทำลาย
คงมีแต่คนไทยด้วยกันเท่านั้นที่รู้จักและเป็นผู้ที่จะรักษาประเพณีและวัฒธรรมอันดีงามเหล่านี้ไว้สืบต่อไป และตราบใดที่ยังมีคนเห็นค่าและยังมาเยี่ยมเยือนอยู่เป็นนิจ ฉันเชื่ออยู่อย่างว่า หากเราคนไทยยังเห็นคุณค่า ป้อมพระสุเมรุและสวนสันติชัยปราการแห่งนี้ ก็จะยังคงอยู่และรอให้อีกหลายชีวิตที่มิเคยมีโอกาสสัมผัส ได้ก้าวเข้ามาลองฉีกกรงทองแห่งพันธนาการของเทคโนโลยี เพื่อกลับคืนสู่วิถีแบบสามัญสักครั้งอย่างแน่นอน

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

The value of Life

ในฐานะของนักสร้างแรงบันดาลใจแบบอึมครึมที่แสนจะสุดโต่งให้แก่คนหมู่มาก หรือจะเรียกอีกอย่างว่าเป็น “ดาวตลก” ก็คงไม่ผิด ด้วยปากที่จัดเข้าขั้นล็อตไวเลอร์ รวมไปถึงมุขตลกอันแพรวพราว ซึ่งถือว่าอยู่อันดับต้นของผู้ที่ได้ฉายา “หมาในปาก” ฉันเลยกลายเป็นที่ชื่นชอบและชื่นชม จนได้รับคำนิยมในหมู่น้องๆ และเพื่อนในที่ทำงานว่า dark (ดาร์ก) เข้าใจยาก แต่...มันส์โคตร

พอถึงเวลา...น้องคนไหนที่กำลังเบื่อ เครียด เป็นทุกข์ และต้องทนกับงานที่กำลังทำอยู่ในตอนนั้น ไม่วายจะต้องเดินมาหาฉันเพื่อเล่าอะไรต่อมิอะไร ที่ฉันเข้าใจเอาเองว่ามันคือความทุกข์ที่สะสมและกำลังตกตะกอนอยู่ภายในใจของพวกเขา และมันท่วมท้นจนถึงเวลาที่ต้องระบายออกมาซะที

อย่างที่รู้กันว่าสังคมการทำงานมันอ่อนไหว ง่ายต่อการถูกทำร้ายทางสุขภาพจิตและสุขภาพใจเป็นอย่างยิ่ง และพนักงานง่อยๆ อย่างพวกฉัน ก็ไม่มีทางให้เลือกมากนัก เพราะพวกเรา “ไม่มี” ในสิ่งที่ควรจะมี มันเลยจะต้องหาวิธีอยู่กับสิ่งที่ว่า “ไม่มี” ให้ดีที่สุด

ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการทำตัวเป็นพวกเดียวกันกับพวกเขา รับฟัง แลกเปลี่ยน ส่งมอบเรื่องราวในใจที่ต่างฝ่ายต่างก็เก็บงำไว้ เพราะเดี๋ยวนี้เพื่อนดีๆ เป็นอะไรที่หาได้ยากในสังคมการทำงาน เพราะแต่ละคนก็มักจะใส่หัวโขน ใส่หน้ากาก ไว้กันพวกบ้าน้ำลายที่เอาแต่พ่นพิษใส่แบบไร้ประโยชน์

และการที่มีใครสักพร้อมที่จะฟัง นั่งอยู่ข้างๆ ยินดีจะทำความรู้จักเหตุและผลเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาทำ มันคงเป็นเรื่องเดียวที่น่าจะดูเป็นสุขที่สุดแล้วในชีวิตการทำงาน ยิ่งในช่วงที่พวกเขามองไม่เห็นว่าตัวเองจะผ่านพ้นความเจ็บปวดไปได้ยังไง สิ่งหนึ่งที่เขาพอจะทำได้ ก็คือการคว้าอะไรก็ได้ที่อยู่ใกล้มือ เพียงเพื่อจะการันตีให้กับความรู้สึกของตัวเองว่าเขาจะปลอดภัยในระดับหนึ่ง

พวกเขาจะทันได้รู้ตัวไหมนะ ว่าจริงๆ แล้ว ความทุกข์ที่พวกเขาถือไว้ในมือนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ที่ฉันเองก็กำไว้ในมือเช่นกัน แต่พอรับฟังทุกข์และปัญหาของพวกเขา ฉันก็ยินดีและยินยอมที่จะวางทุกข์ของฉันลงสักประเดี๋ยว เพื่อช่วยแกว่งตะกอนในใจให้พวกเขาก่อน และโดยที่พวกเขาเองก็คงไม่ทันจะรู้ตัว ตะกอนในใจของฉันก็ได้หลุดกร่อนร่วงหล่นไปพร้อมๆ กับพวกเขาเช่นกัน

ฉันไม่รู้หรอกว่าในวันพรุ่งนี้หรือวันต่อไป จะมีใครอีกสักกี่มากน้อยยอมเปิดใจกับฉันเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่ และใครจะหาความสุขเอาจากฉันสักแค่ไหน หรือจะเอาทุกข์ในใจมาแลกเสียงหัวเราะกลับไปสักเท่าใด แต่สิ่งที่ฉันก็อยากให้พวกเขารับรู้ไว้ก็คือ ยิ่งพวกเขารับมันกลับไปด้วยความเต็มใจเท่าไหร่ มันก็ยิ่งช่วยเพิ่มมูลค่าทางจิตใจกับคนที่ให้อย่างฉันได้จนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว

ฉันเองก็ใช้ชีวิตมาหนักเอาการ ผ่านผู้คนมาร้อยพ่อพันแม่ เคยผ่านจุดบอดที่สุดของชีวิตการทำงานมาก็มาก แต่จะให้ทำยังไงได้ ก็มันคือชีวิตนี่นา คงต้องมีบ้างที่เกิดแผล เกิดตะกอนตกหล่นอยู่ในใจ แต่ทั้งหมดมันทำให้ฉันได้ “รับ” และได้ “รู้” ว่าคนแบบไหนที่ฉันจะต้อง “รับมือ” อย่างไร และที่ชีวิตมันดูเป็นชีวิตเพราะมันสนุกตรงที่ชีวิตมันได้ใช้งานบ้าง...ไม่ใช่หรือ?

ไหนๆ ชีวิตก็มีไว้ใช้งาน ก็เลยไม่คิดจะปล่อยให้มันต้องอ้างว้างด้วยการอยู่แบบไม่มีใคร แค่ได้เป็น "อะไร" ก็ได้ ที่พร้อมจะ "ให้" ก็สุขใจอยู่ไม่น้อย

เอ้า...ใครจะ "ให้" ยกมือขึ้น !!

ทางผ่าน

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ยอมตัดสินใจเลิกรา
รู้เพียงแค่...เมื่อมองตาใครคนนั้นที่เคยรู้จัก
เลยพอรับรู้ได้ถึงหัวใจที่แห้งแล้งและไร้รัก
จนกลายเป็นคนที่แทบจะไม่เคยรู้จักไปในพริบตา

ความสุข ความฝัน และ ความหวังมันก็ยังคงอยู่
แต่...ที่พอรับรู้ได้ว่าจะไม่ใช่กับคน-คนนี้อีกแล้ว
ในเมื่อดวงตาที่เธอจ้องมองกลับมาไร้ซึ่งแวว
ไม่แปลกที่ฉันจะยอมให้มันแล้ว...แล้วไป

ในเมื่อคนที่เธอตามหาไม่ใช่ฉัน
แล้วมันจะแปลกอะไรกัน
ที่เธอจะเดินหน้าหารักครั้งใหม่
ก็ในเมื่อความรักของฉันไม่มีวันหยุดและรั้งเธอไว้ได้
สิ่งที่มอบให้เป็นครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นการเดินจากไปให้ดีพอ

ก็รู้ดีว่าระหว่างทางเรื่องรักมักซับซ้อน
ซ่อนทั้งหวาน ทั้งขม ทั้งระทม ให้ค้นหา
มันคงหวังว่าเธอและฉันจะเปิดใจยอมรับมันเข้ามา
ผลสุดท้าย...ฉันกลายเป็นคนที่ล้าและยอมยกธง

เส้นทางเส้นนี้อาจเคยเป็นสิ่งหนึ่งให้เธอได้
แต่...จากนี้ต่อไปจะเป็นเพียงเส้นทางสายเก่า
สะพานที่ผุผังคงทำได้เพียงรอวันหักร้าว
หลงเหลือเพียงร่องรอยเก่า-เก่า
ที่เธอไม่อยากผ่านมาให้หวาดกลัว

ฉันพร้อมทุบสะพานแห่งความฝันของฉันทิ้งเพื่อเธอได้
แล้ววันต่อไปเธออยากได้อะไรอีกเพิ่มอีกไหมบอกมา
จะให้ร้องไห้จนน้ำตาท่วมหรือตายไปต่อหน้าต่อตา
แต่...หลังจากนี้ ถ้าฉันบอกว่า“ไม่” ก็อย่าหวังว่าจะยอม

ฉันจะยอมทุบสะพานทิ้งและปิดทางรักสายเก่า
จบเรื่องรักระหว่างเราให้มันไม่มีวันหวนคืนมาได้
ในเมื่อฉันรู้ว่าเธอคงไม่สนใจที่จะทำอะไรให้มันดีขึ้นอีกต่อไป
และรู้ไว้ว่าฉันก็ไม่บ้าพอที่จะทอดสะพานเดินกลับไปเช่นกัน

อย่าห่วงว่าทางผ่านเส้นนี้จะเป็นชนักติดหลัง
ฉันไม่ได้โง่งั่งขนาดที่เธอต้องกลัวหรือหวาดหวั่นให้สั่นไหว
ปล่อยให้รักมันจบและอย่าเก็บกดอะไรไว้
ยังไงฉันก็ยังเป็นคนที่เข้าใจอะไร-อะไร ง่ายๆ เหมือนเดิม

เป็นยังไงบ้างสำหรับทางผ่านสายเก่าสายนี้
มันดูไม่น่าเชื่อใช่ไหมว่าฉันก็ยังพอจะมีอะไรดี-ดี เก็บเอาไว้
และฉันขอเก็บเป็นสิ่งสุดท้ายระหว่างทางเดินอันสั่นไหว
ให้เป็นสิ่งแรกที่หัวใจได้รู้จักระวังไว้
ก่อนสร้างเส้นทางอันใหม่ให้ใครได้เดินผ่านเข้ามา

วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ความชินชากำลังช่วยกันเยียวยาความรู้สึก

ฉันมักจะพยายามเรียนรู้ที่จะชินชา
และเริ่มที่จะเดินเข้าไปทำความรู้จักกับความเหงา
ฉันเตรียมพร้อมรับมือกับความเศร้า
และพร้อมจะปล่อยให้ความรัก
เป็นเพียงสิ่งบางเบาสำหรับหัวใจ

หลายคนที่พยายามทำความรู้จักฉัน
สักพักมันก็จะไม่เป็นไปอย่างใจเขา
ฉันรู้ดีว่าตัวเองก็เคยเจ็บมาไม่เบา
แต่...รู้สึกดีกับความเหงามากกว่าต้องเจ็บเกิน

ฉันรู้ว่าความรักที่สวยงามมันก็คงพอมีอยู่
แต่...ฉันก็รู้ยังมีอีกด้านที่เป็นสีเทา
จะเปลี่ยนให้เป็นสีไหนอย่างใจก็ไม่ได้เหมือนใครเขา
วันที่ต้องอยู่ในโลกสีเทาหรือสีไหนก็ยอมรับได้...ไม่เคยกลัว

วันที่ความรักอยากทักทายหรือวิ่งเข้ามาหา
หรือวันที่ความรักอยากโบกมือบอกลาคนแบบฉัน
มันไม่แปลกเรื่องของความรัก...มันก็มีแค่นั้น
ฉันก็แค่รับมือกับมันด้วยความเข้าใจ

อีกไม่นานฉันอาจกลายเป็นด้านสีเทาและหันหลังให้ความรัก
เพราะที่ผ่านมามันมักวนเวียนเจ็บหนักอยู่เท่านี้
และไม่รู้ว่าจะทำยังไง เพราะฉันไม่เคยได้เลือกให้รักได้จบแบบดี
มองฟ้าแล้วบอกกับตัวเองได้แค่นี้...แค่ “เข้าใจ”

และวันนี้ก็เหมือนวันนั้นที่เคยพบเคยผ่าน
ประสบการณ์รักและความเจ็บยังไม่เคยจางหาย
ฉันก็ยังไม่เชื่อและมองไม่เห็นรักว่ารักยังวนเวียนอยู่รอบกาย
และสุดท้ายขอฉันเลือกหันหลังให้มันยังง่ายกว่าเลย

โปรดช่วยให้อภัยกับความรู้สึกชินชาของฉันได้ไหม
ถ้าความรักรอบกายมันทำให้ฉันสิ้นหวัง
ความรู้สึกกับความชินชามันกำลังช่วยกันยับยั้ง
ก้อนเนื้อเล็ก-เล็กที่ฝังตัวลึก-ลึกภายในไม่ให้เจ็บเกิน

วันอังคารที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

นิทรรศการภาพชีวิต

ทุกเช้าเมื่อมองลอดช่องกระจกผ่านขบวนรถไฟฟ้า ที่ขับเคลื่อนฝ่าอากาศเพื่อให้ชีวิตมนุษย์เงินเดือนอย่างฉันไปถึงจุดหมายแห่งการจองจำในคอกที่ทำงานอันแสนเล็กนั้น จะมีแสงอ่อนปนแก่ของแดดยามเช้าช่วยเปิดตาให้ฉันได้เห็นว่ายังมีชีวิตอื่นๆ อีกมากมายรายรอบตัวฉัน ในขบวนรถผสานด้วยกลิ่นอายอันเบาบางของควันแห่งหมอกเมือง

ภาพถ่ายของฉันไม่ผ่านกล้อง ไม่ผ่านเลนส์ ไม่นำเสนอทางกระดาษหรือแผ่นฟิล์ม แต่กลั่นออกมาจากความทรงจำในก้านสมองเล็กๆ ที่เก็บได้หลายกิ๊กกะไบท์อันแสนซุกซนของฉัน วนเวียนอย่างนั้นอยู่ทุกๆ เช้าในทุกวันเดินทางอันแสนรีบเร่ง ยังดีที่เวลาทำงานของฉันช้ากว่าการทำงานของคนอื่นไปหลายก้าว ความแออัดในขบวนรถไฟฟ้าจึงไม่ดูยัดเยียดความเจ็บปวดจากการเดินทางให้ฉันสักเท่าไร

บนเก้าอี้สีเหลืองทั้งเจ็ดตัวต่อฝั่ง อัดแน่นไปด้วยชีวิต ชีวิตและชีวิต ฉันมองไปโดยรอบจากมุมของฉัน โดยขออนุญาตเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลกสักวัน เลยได้เห็นชีวิตทั้งที่พอจะทำความเข้าใจได้และชีวิตที่คงจะไม่มีวันเข้าใจไม่ว่ายังไงก็ตาม

มีทั้งคนนอนหลับหัวผิงซ้าย-ขวา นั่นอาจจะคงเพราะเหนื่อยล้าจากการลดหลั่นของความเท่าเทียมในสังคมมาตั้งแต่เมื่อคืน บางคนปิดตัวเองด้วยการอัดวอล์กแมนเข้าหู และบางคนก็ปิดประตูด้วยการอ่านหนังสือในมือไปตลอดทาง เหลือบอีกฝั่งเก้าอี้ฉันเห็นสีหน้าของเค้าบางคนแสดงออกให้เห็นถึงความวุ่นวายใจจากการแต่งกายที่บ่งบอกว่าไม่เป็นตัวของตัวเองและอีกหลายกลุ่มที่สนุกสนานแย้มรับยามเช้าวันต่อวัน

“ยินดีที่ได้รู้จักคะ” เสียงนี้ดังอยู่ในใจ เพราะฉันตั้งใจจะไม่ให้ใครได้ยิน อาจมีบางครั้งที่ฉันเผลอตัวอมยิ้มออกมาเบาๆ เอ้ย...ฉันหาความสุขจากคนอื่นอยู่หรือนี่ พอคิดได้เลยต้องหุบยิ้มแบบกระชากหน้า แล้วก็นั่งชมนิทรรศภาพต่อไปให้ได้แบบเงียบเชียบที่สุด

นิทรรศการภาพของฉันไม่จำเป็นต้องจัดแสดงและไม่ต้องเดินทางไปดูที่หอศิลป์ไหนๆ ไม่มีคอนเซ็ปท์ของภาพ ไม่มีคำบรรยายใต้ภาพใดๆ เพื่อบอกเล่าถึงเรื่องราวและที่มา ใช้เพียงสายตาและองค์ประกอบเล็กๆทางความคิดบวกกับใจด้านดีๆ(ของฉัน)เพื่อที่จะมีชีวิตต่อไป


และพรุ่งนี้จะเป็นอีกวันที่ฉันจะได้จัดนิทรรศการภาพแห่งชีวิตเล็กๆ ขึ้นอีกครั้ง อีกครั้งและอีกครั้งในทุกวัน ดีใจจังที่ในโลกนี้มีเพียงฉันคนเดียวที่สามารถจัดนิทรรศการภาพได้ทุกวัน เล็กๆ และไม่จริงจัง เงียบๆ แต่แสนดังในความรู้สึก ฉันขอยกนิ้วให้สัญญาว่าจะไม่รุกล้ำความเป็นส่วนตัวของใครโดยถ้าไม่จำเป็น

ขออภัยหากสายตาของฉันในครั้งต่อไปจะเฉียดไปมองพวกคุณเข้า แค่อยากให้รู้ไว้ว่านั่นฉันตั้งใจให้คุณอยู่นิทรรศการภาพของฉันจริงๆ นิทรรศการภาพแห่งชีวิตครั้งต่อไป...จะมีใครจัดกันบ้างนะ เพราะฉันก็อยากจะมีภาพของตัวเองอยู่ในนิทรรศการของพวกคุณด้วย...เช่นกัน

ดั่งดาวดับ

ดับเดือนสิ้นทั่วหล้าประชาราษฎร์
ดับดาววาดประดับฟ้าพร่าสดใส
เมื่อวันนี้พระพี่นางทรงจากไกล
สู่แดนดินถิ่นที่ในหัวใจชน

ทรงลำบากตรากตรำทำงานหนัก
ห้พิงพักเพิ่มความสุขทุกแห่งหน
ชาวประชาล้วนยินดีปรีชาชน
ทุกแห่งหนทุกหย่อมหญ้าพาชื่นใจ

โลกสรรเสริญนิยมชอบตอบรับท่าน
ด้วยใจมั่นปณิธานแห่งการให้
เป็นแบบอย่างทั้งทั่วหล้าพาน้อมใจ
ถวายใส่พวงมาลาคราสิ้นชนม์

แม้วันนี้พระพี่นางจากไกลแล้ว
แต่ดวงแก้วสว่างอยู่ทั่วแห่งหน
คงสถิตย์ ณ เบื้องฟ้าส่องใจชน
เป็นสุขล้นโดยรับรู้ท่านดูเรา


ลูกหนึ่งในประชาชนคนที่ภักดิ์
ด้วยใจรักสำนึกอยู่ทุกแห่งหน
ทั้งความดีที่ท่านสร้างหนทางคน
มิย่อย่นจะเร่งสร้างหนทางใจ

จะน้อมนำสิ่งที่เห็นเป็นทางหลัก
ด้วยใจภักดิ์ขอสานต่อมิหวั่นไหว
แม่สิ้นห่วงวางพระบาทให้อุ่นใจ
ลูกชาวไทยน้อมถวายเบื้องยุคล


ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า นางสาว ทนัชพร แซ่ตั้ง (ผู้ประพันธ์)

ขออภัยผ่านสายน้ำ

หลายปีที่ผ่านพ้นตั้งแต่เล็กจนโต
ทั้งที่พอจะจำได้และจำไม่ได้
ลูกสาวคนเล็กคนนี้คิดเอาเองว่า
คงไม่ทำให้แม่ต้องเป็นทุกข์ใจซักเท่าไหร่

เพราะรู้ดีว่ากว่าสามสิบปีที่ผ่านมา
เมื่อพ่อไม่พร้อมจะดูแล"เรา"อีกต่อไป
แม่จึงต้องเป็นทั้งพ่อให้ได้ในคราวเดียว
เรื่องทำมาหากินจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่
เพราะจากนี้ต่อไปไม่ใช่แค่ปากท้องเดียว
แล้วลูกสาวคนเล็กอย่างฉันจะไม่ยอมเข้าใจเชียวหรือ

ต้องห่างกันเพราะจำใจ
ความห่างไกลจึงเริ่มเดินทาง
ฉันอยู่ไกลจนมองไม่เห็นแม่อีกต่อไป
รู้เพียงแค่หนึ่งปีจะมีหนึ่งครั้งที่แม่เข้ามาใกล้
ลดช่องว่างที่ห่างไกลให้แคบลง

แม้ว่าอ้อมกอดที่ได้รับจะน้อยครั้งเพียงนิด
ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องการมันลดลง
ยิ่งได้รับมันน้อยครั้งแค่ไหน
คุณค่าที่แฝงไว้ในอ้อมกอดยิ่งมหาศาล

วันนี้ฉันโตพอที่จะทำความเข้าใจตลกร้ายของโลกนี้ขึ้นมาก
และเรื่องจริงเรื่องนี้ก็ไม่มีใครผิด
แค่มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิดก็แค่นั้น

ผ่านฝนผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อย
ได้รับทั้งเสียงชมและก่นด่าจากแม่สารพัด
แต่ฉันกลับไม่เคยลดค่าคำพูดคำด่าของแม่
เพราะรับรู้ได้ว่าฉันยังเป็นหนึ่งของแม่เสมอมาและจะเป็นตลอดไป

บ่อยครั้งที่ฉันอาจแข็งกร้าวและกระด้างไปบ้าง
เพราะไม่เก่งเรื่องการแสดงความรู้สึก
และบางครั้งก็ปากเสีย บางทีก็ปากไว
คงมีบางทีเผลอทำให้แม่เสียใจ
แต่ฉันกลับพูดได้แค่ในใจว่า "หนูขอโทษ"

"ขอโทษที่เถียงแม่ทุกครั้งที่ทำได้"
"ขอโทษที่ขัดใจและไม่โอนอ่อนผ่อนตามแม่เท่าไหร่"
"ขอโทษที่ไม่มีเงินเดือนสูงๆ ซื้อข้าวของเครื่องใช้ดีๆให้"
"ขอโทษที่ไม่มีบ้านหลังใหญ่ มอบความอบอุ่นกายให้สักที"
"ขอโทษที่เอาแต่ใจ เลือกทำแต่สิ่งที่ตัวเองชอบ"
"ขอโทษที่ไม่เคยบอกว่าอ้อมกอดจากแม่อบอุ่นแค่ไหน"
"ขอโทษที่บางทีชอบทำตัวเหินห่างไกล"
"แต่อยากบอกไว้ "รักแม่ทุกวัน"

ฉันอยู่กับแม่ห้าชั่วโมงอย่างตั้งใจในสงกรานต์ปีนี้
ภายในห้องสี่เหลี่ยมแสนเล็กเพียงสิบแปดตารางเมตร
แต่ด้วยความตั้งใจก่อนกลับจากแม่ไป
และไม่ให้เป็นการเสียฤกษ์ที่ดีจากใจ
น้ำใสๆ ในแก้วที่แอบเตรียมไว้
แม้จะไม่หอมไปด้วยน้ำอบตามเทศกาล
แต่มวลสารในใจประกอบลงน้ำใสตั้งใจรดฝ่ามือ

ง่ายๆ บนโซฟาปูผ้าบาติกสีแดง
ฉันจับแม่นั่งลง ส่วนตัวเองคุกเข่าที่พื้น
ด้วยหัวใจที่กระด้าง ด้วยหัวใจที่ไม่อ่อนโยนดวงนี้
ขอรดน้ำลงบนฝ่ามือที่ทุกข์ทนทั้งสองของแม่

ร่องรอยบนฝ่ามือและริ้วรอยระหว่างนิ้วทั้งสิบ
ทำให้ฉันพอรับรู้ได้ว่า การเดินทางอันยาวนานของฉัน
ไม่หนักหนาสาหัสเท่าการเดินทางของแม่

น้ำใสหยัดตัวนอนนิ่งภายในแก้ว
แต่หัวใจฉันกลับสั่นเทาตอนที่รดฝ่ามือ
สุดท้ายสิ่งที่มั่นคงกลายเป็นฉันที่กราบลงตรงเท้าแม่

ปีนี้เป็นอีกปีที่ฉันไม่ได้พูดขอโทษอีกตามเคย
ได้แต่หวังว่าแม่จะให้ "อภัย"จากกราบที่มาจากหัวใจของฉัน

รักแม่