วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ร่างทรงอารมณ์ศิลป์

อดีตและอนาคตอยู่ใกล้กันแค่เอื้อมมือ บางทีความฝันอาจอยู่แค่ตรงเปลือกตา เมื่อไรที่หลับตาลง ในความมืดเราจะเห็นความฝันอันสดใสอยู่ในความคิด ในสมอง และจินตนาการ อยู่ในทุกอย่างที่เราอยากจะให้มันเป็น แต่เมื่อลืมตาขึ้นไอ้เจ้าเปลือกตานั่นเองที่ทำให้ความฝันสูญสิ้นได้เช่นกัน เพราะเมื่อลืมตาขึ้นมาสิ่งที่จะมากองอยู่ตรงหน้าก็เหลือแค่ความจริงของร่างทรงที่ไร้วิญญาณ

ไม่รู้ว่าการค้นหาตัวเองกับการค้นหาโอกาสอันไหนมันจะยากกว่ากัน บางคนเจอตัวเองแต่ไม่มีโอกาส บางคนมีโอกาสแต่หาตัวเองไม่เจอ คนสองแบบในสถานที่และเวลาที่ต่างกัน จะผสานตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมในครั้งนี้ได้อย่างไร คงทำได้แค่เพียงกระซิบให้กำลังใจกับตัวเองเอาไว้ เพราะนี่มันช่างเป็นแบบทดสอบชีวิตที่ไร้ข้อจำกัดและยาวนานจริงๆ

วันที่กำลังตัดสินใจก้าวออกตามฝัน โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะไปทัน ณ ตรงไหน มันจะกลายเป็นวันที่ช้าเกินไปหรือไม่ ไม่อยากจะคิดหาคำตอบหรือว่าที่มาของคำถามเลย เพราะกลัวคำตอบที่ได้จะไม่เป็นไปอย่างใจตั้งสัจจะไว้ แต่สิ่งเดียวที่ได้ก็คือทุกวันนี้ก็ยังเดินตามฝันไปเรื่อยๆ มองตรงไปข้างหน้า มองหาคนที่จะหยิบยื่นโอกาสให้และคิดแค่ว่าจะทำโอกาสที่จะได้มาไม่ช้ายังไงให้ดีที่สุดก็พอ

“นักเขียนไส้แห้งจะตาย” ใครๆ ก็พูดกรอกหูอยู่เป็นประจำ และถามซ้ำๆ ว่าทำไมอยากทำงานหนังสือ อายุขนาดนี้แล้วมันจะไหวเหรอ “มันต้องมีเหตุผล” เวลาที่คนเราจะตัดสินใจทำอะไรลงไปสักอย่าง และฉันก็เชื่ออย่างนั้น ฉันไม่อยากให้ใครตัดสินใครเพียงดูจากฐานะทางการเงิน ฐานเงินเดือน หรือข้าวของเครื่องใช้ อยากให้เขาตัดสินว่าฉันให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตัวเองเลือกที่จะทำมากกว่า ฉันเลือกที่จะให้ความสุขตกอยู่ในงานที่ตัวเองรักและได้ทำงานที่รักแบบมีความสุข แต่ฉันจะไปบอกให้ใครเชื่อในสิ่งที่เราเป็นได้อย่างไร ถ้าฉันยังไม่มีบทพิสูจน์ที่จะทำให้เขาเชื่อว่ามันจริงกับสิ่งที่ฉันคิด

ฉันไม่มีทางรู้เลยด้วยซ้ำว่าแค่รักงานเขียนอย่างเดียวมันจะเพียงพอที่จะทำให้ชีวิตอยู่รอดหรือไม่ โดยเฉพาะในเมืองหลวงขนาดใหญ่เฉกเช่นมหานครแห่งนี้ ด้วยค่าครองชีพที่สูงแตะเพดานกับการแข่งขันและเร่งรีบในแต่ละวันของคนเป็นล้านๆ คนในเมืองใหญ่ ที่ไม่เคยยี่หระหรือยอมอ่อนข้อให้ใครก่อน

ถ้าเป็นนักเขียนแล้วไส้แห้ง แต่หัวใจจะไม่แล้งไปจากอารมณ์ศิลป์ ก็ขอเลือกจะเป็นคนไส้แห้งแล้วกัน เพราะมันคงต่างกับร่างทรงมหัศจรรย์ที่ประจำตามออฟฟิศ นั่งนิ่งสนิทอยู่ในคอกที่เล็กแสนเล็ก หายใจเข้า-ออก เพียงเพื่อทำหน้าที่ของมนุษย์ไปวันๆ ทำงานกันเหมือนว่าชีวิตมีความหมายแค่ตอนที่เงินเดือนออก วันศุกร์แห่งชาติที่จะได้กินดื่มกันเพื่อลืมทุกข์โศกที่เก็บกดมานานเป็นสัปดาห์ วันศุกร์แห่งชาติที่รถติดเป็นบ้าเป็นหลังไม่ทันได้ทำอะไรก็หมดไปอีกวัน ทำไมเราไม่มีความสุขทุกวันนอกเหนือจากวันศุกร์สิ้นเดือนก็ไม่รู้ ไม่ได้หมายความว่าเป็นพนักงานบริษัทไม่ดีนะคะ แต่ถ้าตอนนี้เลือกได้ของเป็นร่างทรงนั่งประจำที่บริษัท ได้ทำงานที่เรารักน่าจะดีกว่า

“หรือท้ายที่สุดนี้ก็คงเป็นเพราะไม่รู้ว่าโลกเอาอะไรเป็นบรรทัดฐานในการคัดสรรมนุษย์ให้คงอยู่และสืบทอด หรือว่าโลกจะใช้การจัดระบบ “แพ้คัดออก” ซึ่งคนแพ้ก็ต้องออกจากสารระบบไปให้ไว และไม่ควรคู่จะยืนหยัดต่อไปในโลกจริงหรือ แล้วโลกจะไม่เว้นวรรคหรือช่องว่างให้คนแพ้ได้ยืนอยู่พิสูจน์ตัวเองต่อบ้างเลยหรือไง หรือว่าโลกต้องการแต่ผู้ชนะร่ำไป โดยไม่ใส่ใจกับการร่ำไห้ของใครบางคน”

1 ความคิดเห็น:

The Sun กล่าวว่า...

แอบมาอ่าน... เคยเขียนเกี่ยวกับการทำงานคล้ายๆกัน แต่สั้นกว่า ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนคิดอย่างนี้

ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน? ในเมืองใหญ่ ในป่าใหญ่ ก็ไม่ค่อยแตกต่างกันถ้าจมอยู่กับสิ่งไม่ชอบ ก็รังจะมีแต่อึดอัด

สู้ๆ