วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

แดดสุดท้ายที่สวนสันติชัยฯ เอนหลังพิงไหล่ชมป้อมพระสุเมรุ


แดดช่วงบ่ายแก่ของกรุงเทพฯ เริ่มโรยราเตรียมตัวลับฟ้าเพื่อหมุนเวียนมอบแสงสว่างแก่เมืองอื่นๆ ตามเส้นแนวแบ่งโลกแล้ว ในขณะที่ยังมีอีกหลายชีวิตขวักไขว่ รีบร้อน และเร่งรีบ ในการทำมาหากินเพื่อให้ปากท้องอิ่มก่อนดวงอาทิตย์จะหมดแสง แต่จะมีใครซักกี่คนที่จะรู้ว่าความสุขหาได้จากที่ไหนบ้างในเมืองหลวงเมืองใหญ่แห่งนี้…


ฉันรอคอยเวลาที่จะได้มาที่ป้อมพระสุเมรุและสวนสันติชัยปราการแห่งนี้หลายครั้งหลายหนวันนี้สบโอกาสก็ได้มาสมดั่งใจตั้งสัจจะไว้ซักทีและก็ไม่ผิดไปจากที่หวังแม้ซักนิด เพราะบรรยากาศอันร่มรื่นและภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้การเดินทางที่ร้อนระอุของวันนี้หายไปโดยสิ้นเชิง ภาพที่เห็นตรงหน้าเป็นป้อมปราการที่มีตัวกำแพงล้อมรอบเอาไว้อย่างแข็งแรง เหมือนอ้อมกอดของแม่ที่มิเคยจะละทิ้งเลือดในอกอย่างไรอย่างนั้น

แผ่นป้ายเหล็กขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แกะสลักติดไว้ที่ตัวกำแพงด้านหน้าบอกประวัติความเป็นมาของป้อมพระสุเมรุเพียงเล็กน้อย แต่นั่นก็คงพอเพียงสำหรับผู้คนที่ผ่านไปมาแบบเร่งรีบ เพราะผู้ที่ทำก็คงหวังแต่เพียงว่าจะมีคนไทยไม่มากก็น้อยที่จะเสียสละเวลาหยุดอ่านและเก็บไว้เป็นหนึ่งบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับบ้านเมืองเราเมื่อครั้งก่อนว่าเป็นมาอย่างไรเท่านั้นเอง เพราะหากจะหวังให้ลึกซึ้งไปกับร่องรอยแห่งความทรงจำคงมีน้อยคนนักที่จะเข้าไปศึกษาอย่างแท้จริง

ไม่น่าแปลกที่ร่องรอยแห่งความเก่าแก่และวัฒนธรรมสมัยก่อนจะยังคงอยู่สืบสานต่อในเมืองหลวงเมืองใหญ่แห่งนี้ เพราะฉันก็ยังเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าถึงแม้คนไทยอย่างเราจะพยามยามก้าวให้ทันโลกตะวันตกและเทคโนโลยีที่เพียบพร้อม




แต่รากเหง้าแห่งความเป็นไทยยังคงฝังแน่นอยู่ในสายเลือดตั้งแต่บรรพบุรุษมาจนถึงลูกหลานในวันนี้อย่างแน่นอน จึงทำให้กลุ่มคนและชุมชนในหัวเมืองหลายชุมชนยังล้อมรอบและตีกรอบให้เขาเหล่านั้นเชื่อและถือปฏิบัติสืบต่อกันมาได้อย่างน่าชื่นชม แต่หากบนถนนพระอาทิตย์แห่งนี้มีเพียงตัวป้อมพระสุเมรุตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวก็คงไม่ให้ความวิจิตรและประโยชน์แก่คนในชุมชมสักเท่าไหร่ หากว่าไม่มีสวนสันติชัยปราการตั้งอยู่ข้างๆ


ต้นราชพฤกษ์ ต้นไม้ประจำชาติไทยของเรากำลังออกดอกสีเหลืองสดไสวไปทั่ว นกน้อยแวะเวียนบินมาชื่นชมบ้างเป็นครั้งคราวเป็นที่น่าจดจำยิ่งนัก ภาพบรรยากาศของผู้คนหลากหลายและสายลมเย็นจากลำน้ำเจ้าพระยาปะทะเนื้อตัวและใบหน้าของฉันอย่างอ่อนโยน ทำให้ความร้อนในกายค่อยๆ จางหายไป บนเนื้อที่ประมาณ 8 ไร่ ติดแม่น้ำเจ้าพระยาโดยมีอีกด้านติดกับถนนพระอาทิตย์ในช่วงแดดร่มลมตกแบบนี้


ผู้คนเริ่มหลั่งไหลกันมาพักผ่อน พ่อแม่พาลูกๆ มาวิ่งเล่น คนเฒ่าคนแก่ต่างพากันมาเดินบ้างวิ่งบ้างเพื่อออกกำลังกายยามเย็น กลุ่มเด็กหนุ่มสาวทั้งไทยและเทศก็มีมาเช่นกัน ส่วนเด็กหนุ่มวัยรุ่นมาเล่นกีฬาเป็นกลุ่มๆ ต่างพากันแยกไปตามพื้นที่ที่ตนเองสามารถจับจองได้ บางคนนั่งอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ จนเรียกว่าลืมเวลาไปเลยก็ว่าได้

บรรดาเหล่าเด็กน้อยทั้งหลายก็มากระโดดน้ำเล่นกันอย่างสนุกสนาน ใครมีหน้าที่อะไรในสวนสันติฯ แห่งนี้ ต่างก็ทำหน้าที่กันไป แต่สิ่งที่ฉันเชื่อแน่แท้ก็คือคนส่วนใหญ่ที่มาก็คงต้องการผลลัพธ์ที่เหมือนกัน เพราะทุกคนที่เหยียบย่างเท้าเข้ามาในสวนสาธารณะแห่งนี้ ต่างก็ต้องความเงียบสงบ ความปลอดภัย ใช้สายลมเย็นจากแม่น้ำเจ้าพระยามาช่วยในการปลดเปลื้องความเหนื่อยล้าจากกิจกรรมประจำวันให้ได้พักผ่อน ทั้งกายและใจ เพื่อก่อร่างสร้างกำลังให้กับวันใหม่ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าเมื่อยามอาทิตย์กลับมาทอแสงให้ชีวิตก็คงถึงเวลาทำมาหากินตามกำลังเหมือนเฉกเช่นทุกวัน


หากลองมองย้อนแสงอัสดงของอาทิตย์ไปรอบๆ จากสวนสันติชัยปราการแห่งนี้ สิ่งที่คงจะได้เห็นก็คือเหล่าตึกสูงตระหง่านซึ่งตั้งอยู่รายรอบสลับกับตึกเก่าแบบโบราณแห่งถนนพระอาทิตย์สายนี้แบบลงตัวบ้างไม่ลงตัวบ้างตามแบบฉบับการใช้ชีวิตที่มีปัจจุบันและอนาคตเป็นเครื่องกำหนด รวมไปถึงวิถีชีวิตของชุมชนรอบๆ ที่มิอาจประเมินค่าได้อีกด้วย

ในขณะที่ทุกชีวิตต้องดิ้นรนเดินทางให้ได้มาและเฝ้าแต่หาสิ่งที่สังคมกำหนด ศิลปวัฒนธรรมประจำชาติยังคงรอให้คนทุกรุ่นสืบสานต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีใครกล้ารับประกันได้ว่าเทคโนโลยีจากซีกโลกตะวันตกจะสร้างหรือว่าจะทำลาย
คงมีแต่คนไทยด้วยกันเท่านั้นที่รู้จักและเป็นผู้ที่จะรักษาประเพณีและวัฒธรรมอันดีงามเหล่านี้ไว้สืบต่อไป และตราบใดที่ยังมีคนเห็นค่าและยังมาเยี่ยมเยือนอยู่เป็นนิจ ฉันเชื่ออยู่อย่างว่า หากเราคนไทยยังเห็นคุณค่า ป้อมพระสุเมรุและสวนสันติชัยปราการแห่งนี้ ก็จะยังคงอยู่และรอให้อีกหลายชีวิตที่มิเคยมีโอกาสสัมผัส ได้ก้าวเข้ามาลองฉีกกรงทองแห่งพันธนาการของเทคโนโลยี เพื่อกลับคืนสู่วิถีแบบสามัญสักครั้งอย่างแน่นอน

1 ความคิดเห็น:

แทน กล่าวว่า...

งานนี้ในhappeningหายไปไหนอะ