วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

The value of Life

ในฐานะของนักสร้างแรงบันดาลใจแบบอึมครึมที่แสนจะสุดโต่งให้แก่คนหมู่มาก หรือจะเรียกอีกอย่างว่าเป็น “ดาวตลก” ก็คงไม่ผิด ด้วยปากที่จัดเข้าขั้นล็อตไวเลอร์ รวมไปถึงมุขตลกอันแพรวพราว ซึ่งถือว่าอยู่อันดับต้นของผู้ที่ได้ฉายา “หมาในปาก” ฉันเลยกลายเป็นที่ชื่นชอบและชื่นชม จนได้รับคำนิยมในหมู่น้องๆ และเพื่อนในที่ทำงานว่า dark (ดาร์ก) เข้าใจยาก แต่...มันส์โคตร

พอถึงเวลา...น้องคนไหนที่กำลังเบื่อ เครียด เป็นทุกข์ และต้องทนกับงานที่กำลังทำอยู่ในตอนนั้น ไม่วายจะต้องเดินมาหาฉันเพื่อเล่าอะไรต่อมิอะไร ที่ฉันเข้าใจเอาเองว่ามันคือความทุกข์ที่สะสมและกำลังตกตะกอนอยู่ภายในใจของพวกเขา และมันท่วมท้นจนถึงเวลาที่ต้องระบายออกมาซะที

อย่างที่รู้กันว่าสังคมการทำงานมันอ่อนไหว ง่ายต่อการถูกทำร้ายทางสุขภาพจิตและสุขภาพใจเป็นอย่างยิ่ง และพนักงานง่อยๆ อย่างพวกฉัน ก็ไม่มีทางให้เลือกมากนัก เพราะพวกเรา “ไม่มี” ในสิ่งที่ควรจะมี มันเลยจะต้องหาวิธีอยู่กับสิ่งที่ว่า “ไม่มี” ให้ดีที่สุด

ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการทำตัวเป็นพวกเดียวกันกับพวกเขา รับฟัง แลกเปลี่ยน ส่งมอบเรื่องราวในใจที่ต่างฝ่ายต่างก็เก็บงำไว้ เพราะเดี๋ยวนี้เพื่อนดีๆ เป็นอะไรที่หาได้ยากในสังคมการทำงาน เพราะแต่ละคนก็มักจะใส่หัวโขน ใส่หน้ากาก ไว้กันพวกบ้าน้ำลายที่เอาแต่พ่นพิษใส่แบบไร้ประโยชน์

และการที่มีใครสักพร้อมที่จะฟัง นั่งอยู่ข้างๆ ยินดีจะทำความรู้จักเหตุและผลเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาทำ มันคงเป็นเรื่องเดียวที่น่าจะดูเป็นสุขที่สุดแล้วในชีวิตการทำงาน ยิ่งในช่วงที่พวกเขามองไม่เห็นว่าตัวเองจะผ่านพ้นความเจ็บปวดไปได้ยังไง สิ่งหนึ่งที่เขาพอจะทำได้ ก็คือการคว้าอะไรก็ได้ที่อยู่ใกล้มือ เพียงเพื่อจะการันตีให้กับความรู้สึกของตัวเองว่าเขาจะปลอดภัยในระดับหนึ่ง

พวกเขาจะทันได้รู้ตัวไหมนะ ว่าจริงๆ แล้ว ความทุกข์ที่พวกเขาถือไว้ในมือนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ที่ฉันเองก็กำไว้ในมือเช่นกัน แต่พอรับฟังทุกข์และปัญหาของพวกเขา ฉันก็ยินดีและยินยอมที่จะวางทุกข์ของฉันลงสักประเดี๋ยว เพื่อช่วยแกว่งตะกอนในใจให้พวกเขาก่อน และโดยที่พวกเขาเองก็คงไม่ทันจะรู้ตัว ตะกอนในใจของฉันก็ได้หลุดกร่อนร่วงหล่นไปพร้อมๆ กับพวกเขาเช่นกัน

ฉันไม่รู้หรอกว่าในวันพรุ่งนี้หรือวันต่อไป จะมีใครอีกสักกี่มากน้อยยอมเปิดใจกับฉันเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่ และใครจะหาความสุขเอาจากฉันสักแค่ไหน หรือจะเอาทุกข์ในใจมาแลกเสียงหัวเราะกลับไปสักเท่าใด แต่สิ่งที่ฉันก็อยากให้พวกเขารับรู้ไว้ก็คือ ยิ่งพวกเขารับมันกลับไปด้วยความเต็มใจเท่าไหร่ มันก็ยิ่งช่วยเพิ่มมูลค่าทางจิตใจกับคนที่ให้อย่างฉันได้จนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว

ฉันเองก็ใช้ชีวิตมาหนักเอาการ ผ่านผู้คนมาร้อยพ่อพันแม่ เคยผ่านจุดบอดที่สุดของชีวิตการทำงานมาก็มาก แต่จะให้ทำยังไงได้ ก็มันคือชีวิตนี่นา คงต้องมีบ้างที่เกิดแผล เกิดตะกอนตกหล่นอยู่ในใจ แต่ทั้งหมดมันทำให้ฉันได้ “รับ” และได้ “รู้” ว่าคนแบบไหนที่ฉันจะต้อง “รับมือ” อย่างไร และที่ชีวิตมันดูเป็นชีวิตเพราะมันสนุกตรงที่ชีวิตมันได้ใช้งานบ้าง...ไม่ใช่หรือ?

ไหนๆ ชีวิตก็มีไว้ใช้งาน ก็เลยไม่คิดจะปล่อยให้มันต้องอ้างว้างด้วยการอยู่แบบไม่มีใคร แค่ได้เป็น "อะไร" ก็ได้ ที่พร้อมจะ "ให้" ก็สุขใจอยู่ไม่น้อย

เอ้า...ใครจะ "ให้" ยกมือขึ้น !!

1 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

อ่านจบบทนี้ หน้าพี่ดุกนุ้ยลอยมาเลยอะ