วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

The value of Life

ในฐานะของนักสร้างแรงบันดาลใจแบบอึมครึมที่แสนจะสุดโต่งให้แก่คนหมู่มาก หรือจะเรียกอีกอย่างว่าเป็น “ดาวตลก” ก็คงไม่ผิด ด้วยปากที่จัดเข้าขั้นล็อตไวเลอร์ รวมไปถึงมุขตลกอันแพรวพราว ซึ่งถือว่าอยู่อันดับต้นของผู้ที่ได้ฉายา “หมาในปาก” ฉันเลยกลายเป็นที่ชื่นชอบและชื่นชม จนได้รับคำนิยมในหมู่น้องๆ และเพื่อนในที่ทำงานว่า dark (ดาร์ก) เข้าใจยาก แต่...มันส์โคตร

พอถึงเวลา...น้องคนไหนที่กำลังเบื่อ เครียด เป็นทุกข์ และต้องทนกับงานที่กำลังทำอยู่ในตอนนั้น ไม่วายจะต้องเดินมาหาฉันเพื่อเล่าอะไรต่อมิอะไร ที่ฉันเข้าใจเอาเองว่ามันคือความทุกข์ที่สะสมและกำลังตกตะกอนอยู่ภายในใจของพวกเขา และมันท่วมท้นจนถึงเวลาที่ต้องระบายออกมาซะที

อย่างที่รู้กันว่าสังคมการทำงานมันอ่อนไหว ง่ายต่อการถูกทำร้ายทางสุขภาพจิตและสุขภาพใจเป็นอย่างยิ่ง และพนักงานง่อยๆ อย่างพวกฉัน ก็ไม่มีทางให้เลือกมากนัก เพราะพวกเรา “ไม่มี” ในสิ่งที่ควรจะมี มันเลยจะต้องหาวิธีอยู่กับสิ่งที่ว่า “ไม่มี” ให้ดีที่สุด

ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการทำตัวเป็นพวกเดียวกันกับพวกเขา รับฟัง แลกเปลี่ยน ส่งมอบเรื่องราวในใจที่ต่างฝ่ายต่างก็เก็บงำไว้ เพราะเดี๋ยวนี้เพื่อนดีๆ เป็นอะไรที่หาได้ยากในสังคมการทำงาน เพราะแต่ละคนก็มักจะใส่หัวโขน ใส่หน้ากาก ไว้กันพวกบ้าน้ำลายที่เอาแต่พ่นพิษใส่แบบไร้ประโยชน์

และการที่มีใครสักพร้อมที่จะฟัง นั่งอยู่ข้างๆ ยินดีจะทำความรู้จักเหตุและผลเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาทำ มันคงเป็นเรื่องเดียวที่น่าจะดูเป็นสุขที่สุดแล้วในชีวิตการทำงาน ยิ่งในช่วงที่พวกเขามองไม่เห็นว่าตัวเองจะผ่านพ้นความเจ็บปวดไปได้ยังไง สิ่งหนึ่งที่เขาพอจะทำได้ ก็คือการคว้าอะไรก็ได้ที่อยู่ใกล้มือ เพียงเพื่อจะการันตีให้กับความรู้สึกของตัวเองว่าเขาจะปลอดภัยในระดับหนึ่ง

พวกเขาจะทันได้รู้ตัวไหมนะ ว่าจริงๆ แล้ว ความทุกข์ที่พวกเขาถือไว้ในมือนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ที่ฉันเองก็กำไว้ในมือเช่นกัน แต่พอรับฟังทุกข์และปัญหาของพวกเขา ฉันก็ยินดีและยินยอมที่จะวางทุกข์ของฉันลงสักประเดี๋ยว เพื่อช่วยแกว่งตะกอนในใจให้พวกเขาก่อน และโดยที่พวกเขาเองก็คงไม่ทันจะรู้ตัว ตะกอนในใจของฉันก็ได้หลุดกร่อนร่วงหล่นไปพร้อมๆ กับพวกเขาเช่นกัน

ฉันไม่รู้หรอกว่าในวันพรุ่งนี้หรือวันต่อไป จะมีใครอีกสักกี่มากน้อยยอมเปิดใจกับฉันเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่ และใครจะหาความสุขเอาจากฉันสักแค่ไหน หรือจะเอาทุกข์ในใจมาแลกเสียงหัวเราะกลับไปสักเท่าใด แต่สิ่งที่ฉันก็อยากให้พวกเขารับรู้ไว้ก็คือ ยิ่งพวกเขารับมันกลับไปด้วยความเต็มใจเท่าไหร่ มันก็ยิ่งช่วยเพิ่มมูลค่าทางจิตใจกับคนที่ให้อย่างฉันได้จนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว

ฉันเองก็ใช้ชีวิตมาหนักเอาการ ผ่านผู้คนมาร้อยพ่อพันแม่ เคยผ่านจุดบอดที่สุดของชีวิตการทำงานมาก็มาก แต่จะให้ทำยังไงได้ ก็มันคือชีวิตนี่นา คงต้องมีบ้างที่เกิดแผล เกิดตะกอนตกหล่นอยู่ในใจ แต่ทั้งหมดมันทำให้ฉันได้ “รับ” และได้ “รู้” ว่าคนแบบไหนที่ฉันจะต้อง “รับมือ” อย่างไร และที่ชีวิตมันดูเป็นชีวิตเพราะมันสนุกตรงที่ชีวิตมันได้ใช้งานบ้าง...ไม่ใช่หรือ?

ไหนๆ ชีวิตก็มีไว้ใช้งาน ก็เลยไม่คิดจะปล่อยให้มันต้องอ้างว้างด้วยการอยู่แบบไม่มีใคร แค่ได้เป็น "อะไร" ก็ได้ ที่พร้อมจะ "ให้" ก็สุขใจอยู่ไม่น้อย

เอ้า...ใครจะ "ให้" ยกมือขึ้น !!

ทางผ่าน

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ยอมตัดสินใจเลิกรา
รู้เพียงแค่...เมื่อมองตาใครคนนั้นที่เคยรู้จัก
เลยพอรับรู้ได้ถึงหัวใจที่แห้งแล้งและไร้รัก
จนกลายเป็นคนที่แทบจะไม่เคยรู้จักไปในพริบตา

ความสุข ความฝัน และ ความหวังมันก็ยังคงอยู่
แต่...ที่พอรับรู้ได้ว่าจะไม่ใช่กับคน-คนนี้อีกแล้ว
ในเมื่อดวงตาที่เธอจ้องมองกลับมาไร้ซึ่งแวว
ไม่แปลกที่ฉันจะยอมให้มันแล้ว...แล้วไป

ในเมื่อคนที่เธอตามหาไม่ใช่ฉัน
แล้วมันจะแปลกอะไรกัน
ที่เธอจะเดินหน้าหารักครั้งใหม่
ก็ในเมื่อความรักของฉันไม่มีวันหยุดและรั้งเธอไว้ได้
สิ่งที่มอบให้เป็นครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นการเดินจากไปให้ดีพอ

ก็รู้ดีว่าระหว่างทางเรื่องรักมักซับซ้อน
ซ่อนทั้งหวาน ทั้งขม ทั้งระทม ให้ค้นหา
มันคงหวังว่าเธอและฉันจะเปิดใจยอมรับมันเข้ามา
ผลสุดท้าย...ฉันกลายเป็นคนที่ล้าและยอมยกธง

เส้นทางเส้นนี้อาจเคยเป็นสิ่งหนึ่งให้เธอได้
แต่...จากนี้ต่อไปจะเป็นเพียงเส้นทางสายเก่า
สะพานที่ผุผังคงทำได้เพียงรอวันหักร้าว
หลงเหลือเพียงร่องรอยเก่า-เก่า
ที่เธอไม่อยากผ่านมาให้หวาดกลัว

ฉันพร้อมทุบสะพานแห่งความฝันของฉันทิ้งเพื่อเธอได้
แล้ววันต่อไปเธออยากได้อะไรอีกเพิ่มอีกไหมบอกมา
จะให้ร้องไห้จนน้ำตาท่วมหรือตายไปต่อหน้าต่อตา
แต่...หลังจากนี้ ถ้าฉันบอกว่า“ไม่” ก็อย่าหวังว่าจะยอม

ฉันจะยอมทุบสะพานทิ้งและปิดทางรักสายเก่า
จบเรื่องรักระหว่างเราให้มันไม่มีวันหวนคืนมาได้
ในเมื่อฉันรู้ว่าเธอคงไม่สนใจที่จะทำอะไรให้มันดีขึ้นอีกต่อไป
และรู้ไว้ว่าฉันก็ไม่บ้าพอที่จะทอดสะพานเดินกลับไปเช่นกัน

อย่าห่วงว่าทางผ่านเส้นนี้จะเป็นชนักติดหลัง
ฉันไม่ได้โง่งั่งขนาดที่เธอต้องกลัวหรือหวาดหวั่นให้สั่นไหว
ปล่อยให้รักมันจบและอย่าเก็บกดอะไรไว้
ยังไงฉันก็ยังเป็นคนที่เข้าใจอะไร-อะไร ง่ายๆ เหมือนเดิม

เป็นยังไงบ้างสำหรับทางผ่านสายเก่าสายนี้
มันดูไม่น่าเชื่อใช่ไหมว่าฉันก็ยังพอจะมีอะไรดี-ดี เก็บเอาไว้
และฉันขอเก็บเป็นสิ่งสุดท้ายระหว่างทางเดินอันสั่นไหว
ให้เป็นสิ่งแรกที่หัวใจได้รู้จักระวังไว้
ก่อนสร้างเส้นทางอันใหม่ให้ใครได้เดินผ่านเข้ามา

วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ความชินชากำลังช่วยกันเยียวยาความรู้สึก

ฉันมักจะพยายามเรียนรู้ที่จะชินชา
และเริ่มที่จะเดินเข้าไปทำความรู้จักกับความเหงา
ฉันเตรียมพร้อมรับมือกับความเศร้า
และพร้อมจะปล่อยให้ความรัก
เป็นเพียงสิ่งบางเบาสำหรับหัวใจ

หลายคนที่พยายามทำความรู้จักฉัน
สักพักมันก็จะไม่เป็นไปอย่างใจเขา
ฉันรู้ดีว่าตัวเองก็เคยเจ็บมาไม่เบา
แต่...รู้สึกดีกับความเหงามากกว่าต้องเจ็บเกิน

ฉันรู้ว่าความรักที่สวยงามมันก็คงพอมีอยู่
แต่...ฉันก็รู้ยังมีอีกด้านที่เป็นสีเทา
จะเปลี่ยนให้เป็นสีไหนอย่างใจก็ไม่ได้เหมือนใครเขา
วันที่ต้องอยู่ในโลกสีเทาหรือสีไหนก็ยอมรับได้...ไม่เคยกลัว

วันที่ความรักอยากทักทายหรือวิ่งเข้ามาหา
หรือวันที่ความรักอยากโบกมือบอกลาคนแบบฉัน
มันไม่แปลกเรื่องของความรัก...มันก็มีแค่นั้น
ฉันก็แค่รับมือกับมันด้วยความเข้าใจ

อีกไม่นานฉันอาจกลายเป็นด้านสีเทาและหันหลังให้ความรัก
เพราะที่ผ่านมามันมักวนเวียนเจ็บหนักอยู่เท่านี้
และไม่รู้ว่าจะทำยังไง เพราะฉันไม่เคยได้เลือกให้รักได้จบแบบดี
มองฟ้าแล้วบอกกับตัวเองได้แค่นี้...แค่ “เข้าใจ”

และวันนี้ก็เหมือนวันนั้นที่เคยพบเคยผ่าน
ประสบการณ์รักและความเจ็บยังไม่เคยจางหาย
ฉันก็ยังไม่เชื่อและมองไม่เห็นรักว่ารักยังวนเวียนอยู่รอบกาย
และสุดท้ายขอฉันเลือกหันหลังให้มันยังง่ายกว่าเลย

โปรดช่วยให้อภัยกับความรู้สึกชินชาของฉันได้ไหม
ถ้าความรักรอบกายมันทำให้ฉันสิ้นหวัง
ความรู้สึกกับความชินชามันกำลังช่วยกันยับยั้ง
ก้อนเนื้อเล็ก-เล็กที่ฝังตัวลึก-ลึกภายในไม่ให้เจ็บเกิน

วันอังคารที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

นิทรรศการภาพชีวิต

ทุกเช้าเมื่อมองลอดช่องกระจกผ่านขบวนรถไฟฟ้า ที่ขับเคลื่อนฝ่าอากาศเพื่อให้ชีวิตมนุษย์เงินเดือนอย่างฉันไปถึงจุดหมายแห่งการจองจำในคอกที่ทำงานอันแสนเล็กนั้น จะมีแสงอ่อนปนแก่ของแดดยามเช้าช่วยเปิดตาให้ฉันได้เห็นว่ายังมีชีวิตอื่นๆ อีกมากมายรายรอบตัวฉัน ในขบวนรถผสานด้วยกลิ่นอายอันเบาบางของควันแห่งหมอกเมือง

ภาพถ่ายของฉันไม่ผ่านกล้อง ไม่ผ่านเลนส์ ไม่นำเสนอทางกระดาษหรือแผ่นฟิล์ม แต่กลั่นออกมาจากความทรงจำในก้านสมองเล็กๆ ที่เก็บได้หลายกิ๊กกะไบท์อันแสนซุกซนของฉัน วนเวียนอย่างนั้นอยู่ทุกๆ เช้าในทุกวันเดินทางอันแสนรีบเร่ง ยังดีที่เวลาทำงานของฉันช้ากว่าการทำงานของคนอื่นไปหลายก้าว ความแออัดในขบวนรถไฟฟ้าจึงไม่ดูยัดเยียดความเจ็บปวดจากการเดินทางให้ฉันสักเท่าไร

บนเก้าอี้สีเหลืองทั้งเจ็ดตัวต่อฝั่ง อัดแน่นไปด้วยชีวิต ชีวิตและชีวิต ฉันมองไปโดยรอบจากมุมของฉัน โดยขออนุญาตเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลกสักวัน เลยได้เห็นชีวิตทั้งที่พอจะทำความเข้าใจได้และชีวิตที่คงจะไม่มีวันเข้าใจไม่ว่ายังไงก็ตาม

มีทั้งคนนอนหลับหัวผิงซ้าย-ขวา นั่นอาจจะคงเพราะเหนื่อยล้าจากการลดหลั่นของความเท่าเทียมในสังคมมาตั้งแต่เมื่อคืน บางคนปิดตัวเองด้วยการอัดวอล์กแมนเข้าหู และบางคนก็ปิดประตูด้วยการอ่านหนังสือในมือไปตลอดทาง เหลือบอีกฝั่งเก้าอี้ฉันเห็นสีหน้าของเค้าบางคนแสดงออกให้เห็นถึงความวุ่นวายใจจากการแต่งกายที่บ่งบอกว่าไม่เป็นตัวของตัวเองและอีกหลายกลุ่มที่สนุกสนานแย้มรับยามเช้าวันต่อวัน

“ยินดีที่ได้รู้จักคะ” เสียงนี้ดังอยู่ในใจ เพราะฉันตั้งใจจะไม่ให้ใครได้ยิน อาจมีบางครั้งที่ฉันเผลอตัวอมยิ้มออกมาเบาๆ เอ้ย...ฉันหาความสุขจากคนอื่นอยู่หรือนี่ พอคิดได้เลยต้องหุบยิ้มแบบกระชากหน้า แล้วก็นั่งชมนิทรรศภาพต่อไปให้ได้แบบเงียบเชียบที่สุด

นิทรรศการภาพของฉันไม่จำเป็นต้องจัดแสดงและไม่ต้องเดินทางไปดูที่หอศิลป์ไหนๆ ไม่มีคอนเซ็ปท์ของภาพ ไม่มีคำบรรยายใต้ภาพใดๆ เพื่อบอกเล่าถึงเรื่องราวและที่มา ใช้เพียงสายตาและองค์ประกอบเล็กๆทางความคิดบวกกับใจด้านดีๆ(ของฉัน)เพื่อที่จะมีชีวิตต่อไป


และพรุ่งนี้จะเป็นอีกวันที่ฉันจะได้จัดนิทรรศการภาพแห่งชีวิตเล็กๆ ขึ้นอีกครั้ง อีกครั้งและอีกครั้งในทุกวัน ดีใจจังที่ในโลกนี้มีเพียงฉันคนเดียวที่สามารถจัดนิทรรศการภาพได้ทุกวัน เล็กๆ และไม่จริงจัง เงียบๆ แต่แสนดังในความรู้สึก ฉันขอยกนิ้วให้สัญญาว่าจะไม่รุกล้ำความเป็นส่วนตัวของใครโดยถ้าไม่จำเป็น

ขออภัยหากสายตาของฉันในครั้งต่อไปจะเฉียดไปมองพวกคุณเข้า แค่อยากให้รู้ไว้ว่านั่นฉันตั้งใจให้คุณอยู่นิทรรศการภาพของฉันจริงๆ นิทรรศการภาพแห่งชีวิตครั้งต่อไป...จะมีใครจัดกันบ้างนะ เพราะฉันก็อยากจะมีภาพของตัวเองอยู่ในนิทรรศการของพวกคุณด้วย...เช่นกัน

ดั่งดาวดับ

ดับเดือนสิ้นทั่วหล้าประชาราษฎร์
ดับดาววาดประดับฟ้าพร่าสดใส
เมื่อวันนี้พระพี่นางทรงจากไกล
สู่แดนดินถิ่นที่ในหัวใจชน

ทรงลำบากตรากตรำทำงานหนัก
ห้พิงพักเพิ่มความสุขทุกแห่งหน
ชาวประชาล้วนยินดีปรีชาชน
ทุกแห่งหนทุกหย่อมหญ้าพาชื่นใจ

โลกสรรเสริญนิยมชอบตอบรับท่าน
ด้วยใจมั่นปณิธานแห่งการให้
เป็นแบบอย่างทั้งทั่วหล้าพาน้อมใจ
ถวายใส่พวงมาลาคราสิ้นชนม์

แม้วันนี้พระพี่นางจากไกลแล้ว
แต่ดวงแก้วสว่างอยู่ทั่วแห่งหน
คงสถิตย์ ณ เบื้องฟ้าส่องใจชน
เป็นสุขล้นโดยรับรู้ท่านดูเรา


ลูกหนึ่งในประชาชนคนที่ภักดิ์
ด้วยใจรักสำนึกอยู่ทุกแห่งหน
ทั้งความดีที่ท่านสร้างหนทางคน
มิย่อย่นจะเร่งสร้างหนทางใจ

จะน้อมนำสิ่งที่เห็นเป็นทางหลัก
ด้วยใจภักดิ์ขอสานต่อมิหวั่นไหว
แม่สิ้นห่วงวางพระบาทให้อุ่นใจ
ลูกชาวไทยน้อมถวายเบื้องยุคล


ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า นางสาว ทนัชพร แซ่ตั้ง (ผู้ประพันธ์)

ขออภัยผ่านสายน้ำ

หลายปีที่ผ่านพ้นตั้งแต่เล็กจนโต
ทั้งที่พอจะจำได้และจำไม่ได้
ลูกสาวคนเล็กคนนี้คิดเอาเองว่า
คงไม่ทำให้แม่ต้องเป็นทุกข์ใจซักเท่าไหร่

เพราะรู้ดีว่ากว่าสามสิบปีที่ผ่านมา
เมื่อพ่อไม่พร้อมจะดูแล"เรา"อีกต่อไป
แม่จึงต้องเป็นทั้งพ่อให้ได้ในคราวเดียว
เรื่องทำมาหากินจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่
เพราะจากนี้ต่อไปไม่ใช่แค่ปากท้องเดียว
แล้วลูกสาวคนเล็กอย่างฉันจะไม่ยอมเข้าใจเชียวหรือ

ต้องห่างกันเพราะจำใจ
ความห่างไกลจึงเริ่มเดินทาง
ฉันอยู่ไกลจนมองไม่เห็นแม่อีกต่อไป
รู้เพียงแค่หนึ่งปีจะมีหนึ่งครั้งที่แม่เข้ามาใกล้
ลดช่องว่างที่ห่างไกลให้แคบลง

แม้ว่าอ้อมกอดที่ได้รับจะน้อยครั้งเพียงนิด
ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องการมันลดลง
ยิ่งได้รับมันน้อยครั้งแค่ไหน
คุณค่าที่แฝงไว้ในอ้อมกอดยิ่งมหาศาล

วันนี้ฉันโตพอที่จะทำความเข้าใจตลกร้ายของโลกนี้ขึ้นมาก
และเรื่องจริงเรื่องนี้ก็ไม่มีใครผิด
แค่มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิดก็แค่นั้น

ผ่านฝนผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อย
ได้รับทั้งเสียงชมและก่นด่าจากแม่สารพัด
แต่ฉันกลับไม่เคยลดค่าคำพูดคำด่าของแม่
เพราะรับรู้ได้ว่าฉันยังเป็นหนึ่งของแม่เสมอมาและจะเป็นตลอดไป

บ่อยครั้งที่ฉันอาจแข็งกร้าวและกระด้างไปบ้าง
เพราะไม่เก่งเรื่องการแสดงความรู้สึก
และบางครั้งก็ปากเสีย บางทีก็ปากไว
คงมีบางทีเผลอทำให้แม่เสียใจ
แต่ฉันกลับพูดได้แค่ในใจว่า "หนูขอโทษ"

"ขอโทษที่เถียงแม่ทุกครั้งที่ทำได้"
"ขอโทษที่ขัดใจและไม่โอนอ่อนผ่อนตามแม่เท่าไหร่"
"ขอโทษที่ไม่มีเงินเดือนสูงๆ ซื้อข้าวของเครื่องใช้ดีๆให้"
"ขอโทษที่ไม่มีบ้านหลังใหญ่ มอบความอบอุ่นกายให้สักที"
"ขอโทษที่เอาแต่ใจ เลือกทำแต่สิ่งที่ตัวเองชอบ"
"ขอโทษที่ไม่เคยบอกว่าอ้อมกอดจากแม่อบอุ่นแค่ไหน"
"ขอโทษที่บางทีชอบทำตัวเหินห่างไกล"
"แต่อยากบอกไว้ "รักแม่ทุกวัน"

ฉันอยู่กับแม่ห้าชั่วโมงอย่างตั้งใจในสงกรานต์ปีนี้
ภายในห้องสี่เหลี่ยมแสนเล็กเพียงสิบแปดตารางเมตร
แต่ด้วยความตั้งใจก่อนกลับจากแม่ไป
และไม่ให้เป็นการเสียฤกษ์ที่ดีจากใจ
น้ำใสๆ ในแก้วที่แอบเตรียมไว้
แม้จะไม่หอมไปด้วยน้ำอบตามเทศกาล
แต่มวลสารในใจประกอบลงน้ำใสตั้งใจรดฝ่ามือ

ง่ายๆ บนโซฟาปูผ้าบาติกสีแดง
ฉันจับแม่นั่งลง ส่วนตัวเองคุกเข่าที่พื้น
ด้วยหัวใจที่กระด้าง ด้วยหัวใจที่ไม่อ่อนโยนดวงนี้
ขอรดน้ำลงบนฝ่ามือที่ทุกข์ทนทั้งสองของแม่

ร่องรอยบนฝ่ามือและริ้วรอยระหว่างนิ้วทั้งสิบ
ทำให้ฉันพอรับรู้ได้ว่า การเดินทางอันยาวนานของฉัน
ไม่หนักหนาสาหัสเท่าการเดินทางของแม่

น้ำใสหยัดตัวนอนนิ่งภายในแก้ว
แต่หัวใจฉันกลับสั่นเทาตอนที่รดฝ่ามือ
สุดท้ายสิ่งที่มั่นคงกลายเป็นฉันที่กราบลงตรงเท้าแม่

ปีนี้เป็นอีกปีที่ฉันไม่ได้พูดขอโทษอีกตามเคย
ได้แต่หวังว่าแม่จะให้ "อภัย"จากกราบที่มาจากหัวใจของฉัน

รักแม่